ในวันของการเดินทางในวันที่ 3 นั้นจะเป็นวันที่พายุไต้ฝุ่นผ่านทางใต้ของเกาหลีพอดี เลยทำให้ในวันนั้นสภาพอากาศนั้นจะฝนตกทั้งวัน แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการท่องเที่ยวแต่อย่างใดเลยครับ เพราะโปรแกรมการท่องเที่ยววันนี้ก็ได้อัดแน่นจัดเต็มทั้งวัน และน่าจะเป็นโปรแกรมที่มีการเที่ยวมากที่สุดเลยด้วยซํ้า
หลังจากรับประทานอาหารที่รีสอร์ทที่เราไปพักแล้ว เราก็ได้เดินทางต่อสู่อุทยานแห่งชาติซอรัคซาน ซึ่งได้รับสมญานามว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์เกาหลีกันเลยทีเดียว และเป็นภูเขาที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วย หน้าทางเข้าอุทยานนั้นจะมีรูปปั้นหมีตั้งไว้อยู่ โดยตามตำแหน่งของเกาหลีนั้นได้กล่าวว่า มนุษย์เกิดจากหมีนั่นเองครับ
การเดินทางสู่ยอดเขาของซอรัคซานนั้นสามารถไปได้สองทาง นั่นก็คือ เดินขึ้นเขาไปเลย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของคนเกาหลีเขา นั่นก็คือการปีนเขา และอีกทางก็คือขึ้นกระเช้าไป โดยทางทัวร์ได้จองรอบกระเช้าเอาไว้ล่วงหน้า ทำให้เราสามารถขึ้นกระเช้าไปได้ครับ
น่าเสียดายที่สภาพอากาศในการไปวันนั้นไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่เพราะเต็มไปด้วยเมฆหมอกปกคลุมตลอด ทำให้มองวิวไม่เห็นอะไรเลยเท่าไหร่ แต่บรรยากาศความเป็นธรรมชาตินี่เต็มเปี่ยม เป็นสวรรคสำหรับนักปีนเขาและคนที่ชื่นชอบธรรมชาติแท้ๆ เลยครับ ถ้าสังเกตดีๆ รายรอบทางนั้นต้นไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีกันแล้ว โดยที่ซอรัคซานนั้นจะเป็นที่แรกๆ ในเกาหลีที่ต้นไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีครับ
ทางในการขึ้นยอดเขาซอรัคซานนั้น จะมีทางบันไดหินให้ และบางจุดจะมีพื้นยางกันลื่นเอาไว้ด้วย และตลอดทางนั้นจะมีลุงๆ ป้าๆ ของคนเกาหลีจะเดินปีนขึ้นเขากันเป็นจำนวนมาก (และเป็นสาเหตุหนี่งที่ทำให้คนเกาหลีอายุยืน เพราะว่าคนเกาหลีนิยมปีนเขานั่นเอง) แต่ด้วยสภาพอากาศที่ไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่นัก เลยทำให้ต้องรีบลงจากเขาอย่างน่าเสียดาย
ไกด์ได้พาคณะของเราไปชมวัดชินฮันชา ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ ทางขึ้นกระเช้าของภูเขา โดยวัดแห่งนี้ที่โดดเด่นก็คือ จะมีพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางสมาธิองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง พระพุทธรูปรูปนี้มีคนเกาหลีประมาณ 20 ล้านคนช่วยกันบริจาดเพื่อสร้างขึ้นมา เพราะหวังว่าเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จะได้รวมกันเป็นปึกแผ่นด้วยกันนั่นเอง ที่นี่นั้นมีคนขายเทียนยักษ์สามารถพูดภาษาไทยได้ด้วย และการทำบุญของที่นี่จะไม่เหมือนไทยก็คือ จะเอาเทียนขนาดใหญ่ไปจุดไว้ในตู้ เขียนชื่อไว้ในเทียนด้วย จะไม่มีธูปให้ไหว้กันเลยครับ
\
จบจากการเที่ยววัดแล้วก็ได้เดินทางไปรับประทานอาหารกันต่อ โดยส่วนตัวคนเขียนแล้วนี่เป็นอาหารสไตล์เกาหลีที่อร่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ โอซัมบูลโกกิ ซึ่งจะคล้ายๆ กับสุกี้อีกมื้อ แต่จะเป็นการเอาหมูกับปลาหมึก , ผักเอามาต้มรวมกันในกระทะจานแบน ซึ่งทำให้รสชาติของนํ้าซุปซึมเข้าไปในเนื้ออย่างรวดเร็ว เป็นเมนูที่อร่อยมาก รสชาติยังติดปากอยู่เลย
จากนั้นก็ขึ้นรถทัวร์เพื่อไปเที่ยวสถานที่ต่อไป นั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์แอนิเมชั่น ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นการรวมรวบแอนิเมชั่นทั่วโลกเอามารวมเอาไว้ เราได้เห็นประวัติความเป็นของการทำแอนิเมชั่นตั้งแต่ 30,000 ปีก่อนคริษกาล ยันยุคปัจจุบันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีของสะสมจากแอนิเมชั่นทั่วโลกเอามาแสดงอีกด้วย สำหรับคอแอนิเมะในไทยนั้นถ้ามารับรองถูกใจแน่ เพราะมีของลิมิตในญี่ปุ่นอยู่ที่นี่เพียบเลย ไม่ว่าจะเป็นกันดั้ม , อีวาแกเลี่ยน หรือแม้แต่รวมพลงานของอาจารย์เทนสึเกะ โอซามุก็มีด้วย
สิ่งที่เป็นจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์แอนิเมชั่นแห่งนี้ก็คือ นอกจากจะเป็นการรวบรวมประวัติการทำแอนิเมชั่นต่างๆ แล้วยังได้มีการโชว์เเครื่องไม้เครื่องมือในการทำแอนิเมชั่นมาโชว์กันอีกด้วย รวมไปถึงมีห้องอัดเสียงของจริงมาให้ดูกันอีกต่างหาก โดยจุดประสงค์ของการสร้างพิพิธภัณฑ์แอนิเมชั่นแห่งนี้ก็คือ เป็นแหล่งท่องเที่ยวในครอบครัว ที่พ่อแม่จะได้รื้อฟื้นความสนุกสนานในวัยเด็ก และให้เด็กๆ สนุกสนานไปด้วยนั่นเอง (เมืองไทยยากที่จะได้ทำ)
สถานที่ท่องเที่ยวต่อไปก็คือ ปั่นจักรยาน Rail Bike นั่นเอง ซึ่งไม่ใช่จักรยานธรรมดาๆ แต่เป็นการปั่นจักรยานบนทางรถไฟ!! คืองี้ครับ ทางรถไฟนี้มันเคยเป็นทางรถไฟที่มีการใช้งานกันจริงๆ แต่ต่อมาก็ได้มีการค้นพบเส้นทางใหม่ที่ดีกว่า จะรื้อทิ้งก็เสียดาย ทางการก็เลยเอามาทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและสร้างจักรยาน Rail Bike พิเศษที่สามารถปั่นบนรางรถไฟได้ด้วย (เห็นว่าเคยมีทีมงานไทยมาดูงานที่นี่ด้วย แต่ไม่เคยเห็นเอามาทำในไทยเหมือนกัน)
โดยจักรยาน Rail Bike นั้นจะต้องนั่งกัน 4 คน และทุกคนจะต้องช่วยกันปั่น เพราะมีใครคนใดคนหนึ่งไม่ปั่นจะทำให้ปั่นได้ยากขึ้นกว่าเดิม โดยจะเป็นการปั่นระยะทางทั้งหมด 6 กิโลมเตร นั่นก็คือไปและกลับอย่างละ 3 กิโลเมตรนั่นเอง และได้ปั่นชมวิวสองข้างทาง จนไปถึงบริเวณสะพานนั่นเอง และสองข้างทางนั้นก็ได้มีบ้านทรงยุโรปให้เช่าเป็นหลังๆ ด้วย โดยไกด์ได้บอกว่าเป็นสถานที่ให้เช่าสำหรับคู่รักที่ต้องการจะมาฮัลนีมูนกัน
หลังจากแอบเหนื่อยหอบและขาฟิตเปรี๊ยะมาแล้ว ก็ได้เดินทางสู่สถานที่ท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายของวันนี้ และเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่คนที่มาเกาหลีจะต้องมากันเลยทีเดียว นั่นก็คือ เกาะนามี ซึ่งเป็นสถานที่ในการถ่ายทำละครเรื่อง “WINNER Love” หรือ ฤดูหนาวเหมันต์ นั่นเอง โดยจริงๆ แล้วเกาะนามิแห่งนี้เป็นพื้นที่ของเอกชน และมาดังเอาตอนที่ละครมีการฉายออกไปนั่นเอง ในการเดินทางสู่เกาะนามินั้น จะต้องขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามไป ซึ่งใช้เวลาไม่นาน โดยเสียงประกาศบนเรือนั้นจะมีเสียงภาษาไทยด้วย
บนเกาะนามิตอนที่พวกเราเดินทางไปนั้นใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสี ทำให้ดูธรรมดาไปหน่อย ประกอบกับฝนที่ตกทั้งวันทำให้ถนนทางเดินดูแฉะตลอดทาง แต่บรรยากาศที่ร่มรื่นทำให้สดชื่นตลอดทาง และที่เกาะนามีแห่งนี้ได้มีรูปปั้นดารานักแสดงของเรื่อง Winter Love ขนาดตัวใหญ่กว่าตัวจริงเล็กน้อย ที่น่าสนใจก็คือ บนเกาะนามินั้นมีสัตว์ต่างๆ มากมาย ที่น่าสนใจอย่างก็คือ มีกระต่ายออกมาเดินตรงบริเวณที่มีคนเดินไปเดินมาแบบไม่กลัวคนกันด้วย
มื้อเย็นนั้นเราได้ทานอาหารบนเกาะนามิกันเลย โดยเป็นร้านไก่ย่างคาลบิ โดยจะเป็นไก่หมักกับกิมจิ เอาไปย่างลงในเตากระทะ สามารถกินกับข้าวหรือว่าจะเอาผักกาดมาห่อแล้วกินแบบเมี่ยงคำบ้านเราก็ได้ โดยนอกจากไก่แล้วสามารถเอากระเทียมลงไปทอดเพื่อกินคู่กันได้ด้วย
หลังจากนั้นทางคณะของเราก็ได้ขึ้นรถทัวร์เพื่อเดินทางต่อไปยังที่พักแห่งที่สาม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่หลายคนอยากเห็น นั่นก็คือ กรุงโซล เมืองหลวงของประเทศเกาหลีนั่นเอง โดยตอนที่เริ่มเข้ากรุงโซลนั้น รถยังคงติดมากแม้ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ 3 ทุ่มแล้ว แต่คนขับรถสามารถขับรถผ่านรถติดไปได้อย่างรวดเร็ว และโรมแรมที่เราพักนั้นก็อยู่ในย่านกันนัม ซึ่งเป็นย่านคนรวยของเกาหลีนั่นเอง (แต่อินเตอร์เน็ตดันไม่ให้ใช้ฟรีบนห้องพักซะงั้น)
บันทึกการเดินทางของทัวร์เกาหลีวันที่ 3 ก็ได้จบลงแต่เพียงเท่านี้ และทางเราก็ต้องขอขอบคุณทางบริษัท ทีโอที ที่สนับสนุนการเดินทางในครั้งนี้ด้วยนะครับ เดี๋ยวจะมีตอนที่ 4 มาให้อ่านกันอีก อย่าลืมติดตามกันนะครับ