ติดตามเรา
รีวิวเกม

(รีวิว) Battlefield Hardline : ฉีกแนวสงครามโลก สู่สงครามของตำรวจ

0

ดูเหมือนว่าทาง EA จะรู้ตัวดีว่าการทำเนื้อเรื่องของเกมนั้นยังคงไม่สามารถสู้ Call of Duty ได้จนหลายคนซื้อเกมมาเล่นแค่มัลติเพลเยอร์ และเนื้อหาของตัวเกมก็ไม่ได้ให้อารมณ์แตกต่างจากภาคก่อนๆ มากนัก ทำให้ EA ได้มีการเปลี่ยนธีมตัวเกมใหม่ ฉีกแนวจากสงครามของทหารที่เราคุ้นเคย มาเป็นสงครามระหว่างตำรวจกับผู้ก่อการร้ายแทน และดูเหมือนว่ามันจะเวิร์คเสียด้วย

1

มาดูเรื่องเนื้อเรื่องเกมกันก่อน ในโหมดคนเล่นเดี่ยวนั้นคนเล่นจะได้รับบทเป็นนิก ตำรวจหนุ่มไฟแรงที่ตั้งเป้าหมายในการกวาดล้างอาชญกรรมให้หมดสิ้นไปจากเมือง แต่แล้วก็ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวสกปรกที่เกิดขึ้นและนำพาเราไปสู่เนื้อเรื่องประหนึ่งนั่งดูซีรี่ย์หนังตำรวจเลยทีเดียว

2

ด้านเนื้อเรื่องน่าจะเป็นอะไรที่หลายคนให้ความสงสัยมากว่ามันจะออกมาดีไหม จะให้อารมณ์คล้ายภาคสามหรือจะจบแบบภาคสี่รึเปล่า ด้านเนื้อเรื่องเกมภาคนี้่ถือว่าทำออกมาโอเคเลยหละครับ ถ้าจะให้พูดนั้นให้อารมณ์คล้ายกับภาค Bad Company ที่มีส่วนผสมของความเกรียน ฮาๆ ในเรื่องราวที่กำลังซีเรียสอยู่อย่างลงตัวนั่นเอง

3

ช่วงแรกๆ ของเนื้อเรื่องอาจจะดูเฉยๆ และเหมือนตัวเนื้อเรื่องจะเครียดๆ บ้าง แต่พอผ่านไปกลางเรื่องแล้วตัวเกมจะตาลปัตร กลายเป็นว่าเนื้อเรื่องเริ่มเกรียนขึ้น ฮาขึ้น แต่สำคัญก็คือภาคนี้ตัวละครจะมีมิติมากขึ้นและน่าจดจำมากขึ้น (แม้ว่าตอนแรกๆ ส่วนตัวคนเขียนจะจำหน้าสลับคนกันก็เหอะ) ซึ่งส่งผลทำให้เนื้อเรื่องเกมนี้น่าจดจำมากกว่าภาค 3 เป็นต้นมา

4

ถ้าถามว่าเนื้อเรื่องมันดีขนาดไหนอันนี้ไม่ขอตอบ เพราะเนื้อเรื่องก็ไม่ได้นุ่มลึกเหมือนเกมซีรี่ย์คู่แข่ง แต่เน้นให้ดูแบบเรื่อยๆ ไหลลื่นเสียมากกว่า ส่วนตัวคนเขียนชื่นชอบการนำเสนอที่ให้อารมณ์เหมือนดูหนังซีรี่ย์ ขนาดกดออกเกมยังมีตัวอย่างตอนต่อไปมาให้ดู และเมื่อโหลดเกมก็มีย้อนความให้ดูหน่อยด้วย เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

5

แต่ทว่าภาคนี้ถึงแม้ว่าตัวเกมจะอนุญาตให้คนเล่นสามารถเลือกอาวุธบู๊ล้างผลาญได้ตามสไตล์ของ Battlefield แต่ตัวเกมจะเน้นให้คนเล่นลอบไปจัดการกับศัตรูอัดให้สลบเสียมากกว่าไล่ฆ่า และด้วยการที่ตัวเกมภาคนี้มีลูกเล่นเยอะ เช่นลูกรอกหรือโหนสลิง ทำให้คนเล่นสามารถเข้าไปอัดให้สลบได้ไวมากโดยไม่ต้องกลัวว่าจะต้องไปอย่างเชื่องช้า แน่นอนว่าการบู๊ล้างผลาญหรือจะย่องเงียบไม่มีผลกับฉากจบ ที่จะมีผลก็คือถ้าย่องเงียบจะได้คะแนนปลดล็อคอาวุธในโหมดเนื้อเรื่องได้มากกว่านั่นเอง

6

ส่วนตัวคนเขียนแล้วตัวเกมนี้ให้อารมณ์เหมือนตำรวจนายหนึ่งที่ดันทำตัวเหมือนหน่วยสวาทและกลายร่างเป็นหน่วยคอมมานโดที่บู๊แหลกแหกด่านระเบิดตู้มตามสไตล์ไมเคิลเบย์ และแน่นอนว่ามีฉากเสี่ยงตายน่าตื่นตาตื่นใจให้เห็นเรื่อยๆ แม้ว่าสเกลเนื้อเรื่องจะเปลี่ยนให้เล็กลง แต่ความอลังของฉากแอ็คชั่นก็ไม่ลดลงเลย ถ้าให้นึกถึงหนังก็น่าจะคล้ายๆ ภาพยนต์เรื่อง Mission: Impossible กลายๆ เลยก็ว่าได้

7

แม้ว่าด้านเนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้พลิกโฉมจนน่าตกตะลึงหรือแปลกใหม่มากนัก แต่การฉีกแนวมาเล่นเนื้อเรื่องแนวซีรี่ย์ตำรวจ รวมไปถึงการนำเสนอตัวเกมที่เกรียนๆ ฮาๆ มากขึ้น (มีอะไรให้ดูในเกมนี้เยอะมากพอสมควร) เลยทำให้ตัวเกมภาคนี้เป็นที่น่าจดจำมากขึ้นเมื่อเทียบกับภาค 3 และภาค 4 ที่เนื้อเรื่องไม่ได้น่าสนใจอะไรเท่าไหร่นัก แต่ที่น่าสนใจกว่าก็คือมัลติเพลเยอร์

8

ภาคนี้ตัวเกมก็ยังคงสู้กันในพื้นที่กว้างขวางและมีพาหนะให้ขับเหมือนเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือมันเป็นการต่อสู้ระหว่างตำรวจกับโจร ซึ่งที่หายไปแน่ๆ ก็คือรถถัง รถหุ้มเกราะไปจนถึงฮัมวี แต่มัลติเพลเยอร์ภาคนี้กลายเป็นว่าเป็นเกมที่เล่นได้รวดเร็วมาก โดยเฉพาะโหมดขับรถสู้กัน , โหมดชิงตัวประกัน , คุ้มกัน VIP รวมไปถึงโหมดปล้นธนาคาร ซึ่งรสชาติในการเล่นจะแตกต่างจากทุกภาคอย่างแน่นอนเพราะตัวเกมก็ปรับพื้นที่บางโหมดให้แคบลงเพื่อให้ปะทะไวขึ้นด้วย

9

แน่นอนว่าคงจะมีหลายคนเริ่มเทียบเกมนี้กับ Payday เพราะมีโหมดปล้นธนาคารเหมือนกัน แต่ถ้าถามว่าตัวเกมให้อารมณ์เหมือนกันไหมก็ต้องบอกว่าไม่เหมือน เพราะตัว Battlefield Hardline นี้คนเล่นจะมีอิสระในการเล่นมากกว่าเดิม จะซุ่มยิง จะวางกับดัก หรือจะระเบิดกำแพงแล้วไล่ยิงอีกฝ่ายมันสามารถทำได้ทั้งนั้นไม่มีข้อจำกัดใดๆ ดังนั้นตัวเกมจึงถือว่าให้อารมณ์คนละแบบและคนละแนวไปเลยก็ว่าได้

10

ทว่าก็ต้องยอมรับว่าตัวเกมก็ไม่ได้แตกต่างจากภาคที่แล้วมาก คนเล่นสามารถเดาได้เลยว่ามัลติเพลเยอร์เป็นยังไง แค่เปลี่ยนจากทหารระหว่างประเทศมาเป็นตำรวจกับโจรก็เท่านั้น แต่ถ้าด้านเนื้อหากับอารมณ์ของตัวเกมแล้วละก็ รับประกันได้ถึงความแตกต่างกันอย่างแน่นอน อย่างน้อยๆ โหมดเกมมันก็ไม่ได้ซํ้ากันมากเท่าไหร่หรอกอะนะ

11

จุดเด่น
– ฉีกเนื้อเรื่องมาเป็นเรื่องราวของตำรวจ จึงไม่ซํ้ากับภาคที่ผ่านมา
– การนำเสนอเรื่องราวเหมือนดูซีรี่ย์ ทำให้น่าสนใจ ตัวละครมีมิติมากขึ้น
– ยังคงบู๊ล้างผลาญและมีฉากเสี่ยงตายมาให้เห็นเหมือนเดิม
– กราฟฟิกยังคงทำออกมายอดเยี่ยม ปรับ Low ภาพยังสวย
– นอกจากบั๊กแปลกๆ แล้ว บั๊กเกมเพลแทบไม่เห็นเลยในภาคนี้
– โหมดมัลติเพลเยอร์คือการนำของเก่ามาดัดแปลงให้แตกต่าง
– Easter egg (หรือความลับในเกม) มีค่อนข้างเยอะ ทั้งฮา ทั้งแปลกและน่าสนใจ

ข้อเสีย
– การเล่นยังไม่ได้แตกต่างจากภาคที่แล้วเท่าไหร่ หลับตายังนึกออก
– ศัตรูไม่เคยมองเห็นคนอื่นๆ ในทีม แต่หันมายิงใส่เราแทน (เอ็งใช้สกิลล่องหนเรอะ)
– ระบบขู่ให้ยกมือขึ้นในหลายสถานการณ์แทบจะไม่มีประโยชน์ ย่องอัดให้สลบง่ายกว่า
– AI บางทีตามสคริปเกิ๊น และตัวละครบางตัวบทก็หายไปเลย

..

Battlefield Hardline วางจำหน่ายแล้วบน Origin ในราคา 1,800 บาท โดยคนเล่นเลือกอัพเกรดตัวเกมได้หากต้องการเล่น DLC ด่านใหม่ๆ ในอนาคต

ลิ้งไปสั่งซื้อ – www.origin.com

 

 

 

 

Leave a comment