ผมกำลังยืนอยู่ในร้านขายโดจินโป๊เกย์
แน่นอนครับ ผมยังเป็นชายแท้ล้านเปอเซ้นต์และยังชอบผู้หญิงอยู่ แต่ตอนนี้ผมกำลังตกอยู่ท่ามกลางสาววายทั้งหลายที่กำลังหยิบดูโดจินโป๊เกย์อย่างตั้งอกตั้งใจ
ผมดูจากหน้าปกแล้วรู้เลยว่าข้างในนั้นคงมีศึกช้างชนช้างทะลุทะลวงกระฉูดแน่ๆ แถมที่อยู่ในมือผมนั้นก็ยังเป็นโดจินโป๊ที่หยิบมาจากชั้นหนังสือที่กำลังขายอยู่นั่นแหละ ซึ่งแน่นอนว่าสาววายชาวญี่ปุ่นนั้นก็จ้องมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ในขณะที่พนักงานสาวนั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นผมหยิบโดจินโป๊เล่มนั้น
ถ้าผมไม่ใช่เกย์ แล้วทำไมผมถึงต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ ? เรื่องแบบนี้คงต้องเล่าย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีก่อน
ยาวไปไหม!! ไม่หรอก เพราะจุดเริ่มต้นมันอยู่ที่ตอนนั้น
———————————
เดือนกันยายน ปี 2556 วันไม่ทราบ เวลาไม่รู้ วินาทีไม่ต้องพูดถึง
“เฮ้ย ไปงานโตเกียวเกมโชว์กันมั้ย ?”
นี่คือสิ่งที่เพื่อนผมที่ทำงานสื่อเหมือนกันพูดขึ้นในช่วงเวลาก่อนที่ผมจะเดินทางไปประเทศเกาหลี เพื่อที่จะไปเกาะติดทำข่าวการแข่งขัน Tales Runner ที่นำโดยบริษัท TOT ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไปต่างประเทศ (ไม่นับพม่า ลาว และกัมพูชาเพราะไม่ได้ขึ้นเครื่องบิน) ซึ่งผมในตอนนั้นเตรียมที่จะไปทำข่าวงานนี้กลับมาด้วย แต่สิ่งที่เพื่อนผมทักขึ้นมานั้น เป็นสิ่งที่เกินคาดมาก
“โตเกียวเกมโชว์นะเหรอ” ผมยักคิ้วถาม
“ใช่ ที่ญี่ปุ่นไง เดี๋ยวปลายปีนายก็ไปงาน G-Star ที่้เกาหลีใช่มะ ปีนี้เราทำข่าวงานเกาหลี ปีหน้าเราก็ทำข่าวงานญี่ปุ่นไปเลยไง” เพื่อนผมบอกด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น
ในช่วงเวลานั้น เพื่อนผมเพิ่งจะเข้าทำงานในบริษัทเกมที่เปิดใหม่ ซึ่งทำให้เขาคาดเดาได้ถึงเงินเดือนที่เขาจะออกและสามารถเก็บสะสมเพื่อไปญี่ปุ่นได้ ซึ่งช่วงนั้นญี่ปุ่นได้ประกาศยกเลิก VISA พอดีด้วย ทำให้น่าไปเข้าไปใหญ่
แน่นอนครับ ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งที่สำหรับคอเกม และคอการ์ตูนจะต้องไปเยือนซักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะคนไทยนั้นผูกพันธ์กับวัฒนธรรมญี่ปุ่นเยอะมาก และได้รับอิทธิพลเยอะด้วยนั่นเอง
“ปีหน้าอะนะ” ผมตอบกลับไปแบบนั้น เพราะงานเกมญี่ปุ่นจะจัดกันในเดือนกันยายน ทำให้เรามีเวลาเตรียมตัวอีกเยอะ
แต่ทว่า ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นกลับตาลปัตร เพราะว่าตาต้นโผที่เป็นคนเอ่ยชวนไปคนแรกนั้น ดันไม่สามารถไปได้ด้วยปัญหางบประมาณ ทำให้ตอนนี้เหลือผมกับเพื่อนสื่ออีกสองคนเท่านั้นที่ยังตัดสินใจว่าจะไปอยู่ (คุยกันมาตั้งนาน ปลุกอารมณ์กันมาแล้วด้วย ไม่ไปก็คงหมดอารมณ์แย่) ซึ่งระหว่างนั้นผมก็ได้เช็ดราคาตั๋วไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่แอร์เอเชีย สายการบินโบวคอสบ้านเราที่กำลังจะเปิดเส้นทางบินใหม่ไปญี่ปุ่นแบบบินตรงพอดี ซึ่งหมายความว่า ถ้าเราสามารถจองตอนที่เปิดสายการบินแรกๆ ได้ เราจะได้ราคาถูกแบบสุดยอด! แต่จนแล้วจนรอด แอร์เอเชียก็ยังไม่ยอมเปิด X ไปญี่ปุ่นซะที จนในที่สุด ผมก็ได้ไปเช็ดราคาของเดลต้า ที่บินตรงเหมือนกันแต่บินตรงเช้า ซึ่งก็ทำให้เห็นราคา 2 หมื่นต้นๆ จนต้องบอกเพื่อนร่วมทีมหลังจากไปงานแถลงข่าวเปิดตัวเกมนักดาบออนไลย์เลยว่า เฮ้ย ถ้าจะไปมันต้องรีบจองแล้วนะเฮ้ย ซึ่งเพื่อนผมทั้งหมดก็ตกลงที่จะไปสายการบินนี้ ยิ่งเราไปกันสามคน การจะหาที่พักแบบนอนสามคนในห้องเดียวกันได้มันยากมากๆ
ก่อนจะเล่าเรื่องต่อ ผมคิดว่าคงจะมีหลายคนสงสัยว่าทำไมผมถึงตั้งชื่อเรื่องว่า “กับเพื่อนสุดเฟล” ออกมา ? คำตอบก็คือ มันเฟลตั้งแต่เริ่มเดินทางจนกระทั่งวันกลับเลยครับ และตรงเหตุการณ์นี้แหละที่เพื่อนผมเริ่มแสดงอาการเฟลออกมา
เจ้าตัวถามว่า “อยากจะนอนแยกห้อง ได้ไหม ? จ่ายเพิ่มก็เอา”
ตอนนั้นผมกับเพื่อนอีกคนนั่งบอกกันเลย “เอ็งจะบ้าเรอะ! ไปเที่ยวด้วยกันจะนอนแยกกันทำไมฟะ!” ยิ่งไปต่างประเทศด้วยแล้วนอนแยกห้อง มันไม่ได้ง่ายๆ เหมือนในเมืองไทย เวลาจะวางแผนทำอะไร หรือปลุกตื่นนอนก็จะสะดวกด้วย จนเพื่อนร่วมงานที่มาฟังด้วยเขาก็บอกว่า “ตานี่สงสัยจะแอบพาใครเข้าห้องแหงมเลย” จนอีกฝ่ายยอมที่จะนอนสามคนในห้องเดียวกัน
ซึ่งจริงๆ จะบอกว่า ถ้าจะนอนแบบนั้นเอาราคาถูก ก็ต้องนอนโรมแรมแคปชูลซึ่งผมไม่เอาด้วยแน่
หลังจากการคุยตกลงในวันนั้น วันต่อมา ผมกดดูราคาใหม่ ที่พักที่เดิม แต่ราคาที่ผมเห็น หล่นลงมาหมื่นสองร้อยบาท
ผมถึงกับกระพริบตาหลายคร้้งเลยว่า เฮ้ย นี่เราเบลอจนมองตาลายรึเปล่า ทำไมราคามันลงมาตั้งหมื่นนึงฟะ! พอกดดูสายการบินที่เดินทาง
เชดเด้!! แอร์เอเชีย X เปิดให้บริการแล้ว!!
ผมรีบโทรหาเพื่อนทั้งสองคนเป็นการด่วนเลยว่า พวกเอ็งสองตัวจงรีบโอนเงินมาให้ตูเพื่อซื้อตั๋วเอาสายการบินนี้บัดเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นข้าจะไม่ไปกับพวกเอ็งแน่ เพราะราคานี้ไปญี่ปุนได้ (แบบบินตรง) แล้วไม่ยอมไปนี่ ถือว่าบ้าแระครับ ซึ่งทั้งสองคนก็โอนเงินมาให้ผมสามารถสั่งจองตั๋วเครื่องบินได้สำเร็จ ทำให้ตอนนี้พวกผมได้ทั้งค่าที่พักและค่าเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว
—————————
15 มีนาคม 2557
วันนี้เป็นวันที่ผมกับเพื่อนผมอีกสองคนมีกำหนดจะต้องขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางไปญี่ปุ่น
เครื่องบินออกตีหนึ่ง ดังนั้นทางผมจะต้องไปถึงสนามบินราวๆ 4 ทุ่ม เพื่อไปเช็ดอินนั่นเอง ผมได้ออกเดินทางตอนราวๆ 2 ทุ่มครึ่งโดยมีคนทางบ้านขับรถไปส่งให้ เนื่องจากสนามบินดอนเมืองนั้นอยู่ห่างจากบ้านผมมากนั่นเอง ในวันนั้นฝนเริ่มตกลงมาเรื่อยๆ ให้บรรยากาศเหมือนกันตอนที่ผมเดินทางไปเกาหลี (ซึ่งเป็นการไปต่างประเทศครั้งแรกที่นั่งเครื่องบินไป) ฟังจากวิทยุข่าว เหมือนกับว่าจะมีพายุเข้าไปทางใต้ของจีน ซึ่งทางบ้านก็แอบเป็นห่วงว่าจะเป็นอะไรไหม ซึ่งตัวผมได้เช็ดพยากรณ์อากาศก่อนเดินทางไปแล้วก็พบว่าที่ญี่ปุ่นนั้นอากาศแจ่มใสสบายดี (แต่ก็ไม่ได้บอกทางบ้านอะนะว่าตอนเครื่องบินบินผ่าน มันผ่านพายุด้วย)
เมื่อผมเดินทางไปถึงสนามบินแล้ว ก็พบเพื่อนผมที่เดินทางมาถึงก่อนผมแล้ว ซึ่งยังเหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงกว่า เค้าเตอร์เช็ดอินของแอร์เอเชีย X จะเปิด ก็เลยอยู่คุยกัน บอกลาคนทางบ้าน และในที่สุดเพื่อนอีกคนก็เดินทางมาถึง ที่เหลือเราก็แค่ ไปยืนต่อแถวกับคนอื่นๆ ที่มาเข้าคิวเหมือนกัน ซึ่งระหว่างนั้นทางผมก็นั่งเข้า WIFI ฟรีของสนามบินและถ่ายรูปลงเฟสเพื่อรายงานว่าเรากำลังจะขึ้นเครื่องบินแล้วนะ อะไรแบบนี้
ดูเหมือนจะเป็นการเดินทางธรรมดาๆ ไม่มีอะไรสินะครับ ? เปล่าเลย เรื่องความเฟลของเพื่อนผมจริงๆ มันเริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้แหละครับ
เค้าเตอร์เช็ดอินเริ่มเปิด พนักงานของเค้าเตอร์แอร์เอเชีย X ทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่นเริ่มโค้งคำนับกล่าวต้อนรับผู้โดยสารทั้่งหมด ทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่นต่างหยุดธุระส่วนตัวและตั้งใจมองพนักงานที่กำลังกล่าวต้อนรับ ยกเว้นเพื่อนผมเพียงคนเดียวที่ยังคงนั่งกดเล่นเน็ตมือถืออย่างเมามัน และเป็นคนเดียวในบรรดาผู้โดยสารทั้งหมดที่นั่งเล่นเนตมือถืออยู่คนเดียว จนตามมาต่อคิวไม่ติดกัน และมีชาวญี่ปุ่นมายืนขวางอยู่ แต่เจ้าตัวก็ยังคงยืนเล่นมือถืออยู่โดยไม่สนใจอะไร ซึ่งผมเริ่มเห็นลางเฟลมาแต่ไกล
เมื่อคิวมาถึงคิวผมกับเพื่อนอีกคนไปตรงเค้าเตอร์เช็ดอิน แทนที่เจ้าตัวจะรีบเช็นรถเข็นตามพวกผมมา ดันเอาแต่ยืนแชทมือถืออยู่ได้ จนเพื่อนผมอีกคนต้องรีบกวักมันมาเลยว่า รีบมาสิเว้ยเฮ้ย!
ทำตัวชิลไปไหมนั่น ? เพราะปกติ การเช็ดอินนั้นถ้าจองด้วยกันก็ต้องเช็ดอินด้วยกันอยู่แล้ว ก็ยังแอบคิดอยู่ว่าคิดยังไงถึงไม่ยอมตามมาด้วยกัน อยากโดนจับแยกนั่งรึยังก็ไม่ทราบเหมือนกัน ตรงๆ เลยว่าตอนนั้นผมรู้สึกว่าโคตรอาย เพราะผู้โดยสารคนอื่นๆ ต่างมองกันหมด (แต่จะว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมก็เอาหมอนรองคอเอามาเสียบหัวจนดูเหมือนทำตัวปัญญาอ่อนนิดนึงเหมือนกัน จนเพื่อนอีกคนพึมพำออกมาว่า สองคนนี้มันเล่นอะไรกันนิ)
หลังจากผ่านด่านเช็ดอินและเขียนใบตรวจคนเข้าเมืองออกเมือง (สำหรับเมืองไทย) เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็ถึงตาที่พวกเราจะต้องแก้ผ้า… เอ้ย ต้องผ่านด่านตรวจสแกนก่อนที่เราจะขึ้นเครื่อง ผมเลยต้องอธิบายเสริมให้เพื่อนผมก่อนที่จะเดินทางผ่านเครื่องสแกนทันที
“พวกกระเป๋าเงิน , มือถือ , กุญแจ , เข็มขัด หรือกระเป๋าอะไรต้องเอาออกไปวางตรงถาดให้หมด แล้วก็เดินผ่านเครื่องสแกนไปเลย” ผมอธิบายพร้อมกับชี้ไปตรงเครื่องสแกน
“ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ” เพื่อนคนที่ไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อนถาม
“ตามนั้นเลย ดูนะ” ผมบอกก่อนที่จะเดินแก้ผ้า… เอ้ย ถอดของที่ไม่สามารถเดินผ่านเครื่องสแกนได้ แล้วก็เดินตัวปลิวผ่านเครื่องสแกน และก็ไปยืนกางแขนให้เจ้าหน้าที่สาวของสนามบินใช้เครื่องสแกนในการตรวจร่างกายผม
โป๊ก!
เจ้าหน้าที่สาวทำพลาด หยิบเครื่องสแกนไปโป๊กใส่หัวผมทันที จนเจ้าหน้าที่สาวเริ่มลนลานออกมา
“Oh… I very sorry , Are you OK ?” เจ้าหน้าที่สาวรีบถามผม
“Ah.. OK , Never mind” ไอ้ผมเองก็เผลอตอบเป็นภาษาอังกฤษตอบไปด้วยซะงั้น ว่าแต่ หน้าผมมันไม่เหมือนคนไทยขนาดนั้นเลยเรอะ
หลังจากที่ผมเก็บข้าวของของผมใส่กระเป๋าเสร็จแล้วผมก็ยืนรอเพื่อนอีกคนที่กำลังเก็บข้าวของที่หยิบออกมาเพื่อเอาเข้าใส่เข้าไปในกระเป๋าตามเดิม เพื่อนผมคนที่นั่งแชทมือถืออยู่ถึงกับถามผมว่า “ตอนนี้เล่นเน็ตได้ไหม”
ปั๊บ!! (เสียงตีหัวตัวเอง)
E บร้าาาาาา!! เอ็งกำลังยืนอยู่ตรงบริเวณจุดที่เป็นเครื่องสแกนที่เป็นจุดห้ามถ่ายรูป แถมมีทั้งเจ้าหน้าที่และตำรวจยืนมองอยู่ แน่นอนว่าผมเคยบอกไปแล้วว่าขั้นตอนตรงนี้ห้ามถ่ายรูปหรือบันทึกเสียงใดๆ ทั้งสั้น ยังจะมาขอเล่น “เน็ต” ตรงนี้อีกเหรอย้าาาาาาาาา!!
“เอ็งรอเพื่อนเก็บของเสร็จก่อนได้ไหม” ผมถามมัน
แต่ดูเหมือนเพื่อนผมจะมีปัญหาในการเก็บของเพราะของที่ต้องหยิบออกมาบนเครื่องสแกนนั้นมีเยอะมาก เลยใช้เวลาเก็บของค่อนข้างนาน อีกฝ่ายกก็ทำท่ากระสับกระส่ายอยากจะเล่นเนตมือถือมาก เลยถามอีกรอบ
“ขอเล่นเน็ตได้ไหม ?” มันถามผม
“นี่ ถ้าเอ็งเสี้่ยนอยากเล่นเน็ตมาก ไปตรงนั้นเลยป่ะ” ผมชี้ไปตรงร้าน Duty Free ของสนามบินที่อยู่ใกล้ๆ และมีพื้นที่เล็กกระจิ๊ดนึง เพราะมันจะห่างจากจุดสแกน ทำให้ไม่น่าจะโดนห้าม
ซึ่งเมื่อเพื่อนผมรอซักพัก (ไม่เกิน 3 นาทีโดยประมาณ) ก็เดินออกจากพื้นที่ตรงบริเวณนั้นและก็หาพื้นที่ในการเล่นเน็ตทันที ซึ่งจังหวะนั้น เพื่อนผมอีกคนก็เก็บของเสร็จพอดี เราทั้งสองคนก็หันมามองดูเพื่อนคนนั้นพร้อมกัน
“สงสัยเสี้ยนเน็ตมาก” ผมวิจารณ์
“มั้ง” เพื่อนผมอีกคนพยักหน้า
เราทั้งสองคนเลยเดินเที่ยวดูของใน Duty Free ของสนามบินดอนเมือง เพราะไม่เคยมาทั้งคู่ แต่เมื่อดูแล้วก็ไม่เห็นว่ามีอะไรน่าซื้อเท่าไหร่เพราะของราคาแพงและเราก็ไม่ใช่ชาวต่างชาติที่จะซื้อของฝากกลับบ้าน เลยออกมายืนรอเพื่อนคนที่ว่าแชทเสร็จ ก่อนที่จะเดินไปนั่งรอหน้าเกท (ประตูทางเข้าเครื่องบิน) ด้วยกัน ซึ่งสนามบินดอนเมืองนั้นไม่มีอะไรให้เดินเท่าไหร่ เลยได้ไปนั่งรอหน้าประตูเฉยๆ จนกระทั่งถึงเวลาเครื่องออก พวกเราก็ได้ต่อแถวกับผู้โดยสารจำนวนมากในการขึ้นเครื่อง โดยระหว่างนั้นผมได้ส่งยาแก้เมาให้เพื่อนทั้งสองคน
“นี่อะไร” เพื่อนคนที่ว่าถาม
“ยาแก้เมาไง รับรองว่านายได้นั่งทรมานบนเครื่องบินแน่ จะได้หลับง่ายๆ” ผมบอกเขา ซึ่งเพื่อนอีกคนก็หยิบไปเม็ดนึงอย่างง่ายดาย
“ไม่เอาอ่ะ ฉันหลับง่ายอยู่แล้ว” เพื่อนคนที่ว่าบอก
“มั่นใจนะ เตือนไว้ก่อนนะว่ามันทรมานจริงๆ” ผมเตือนอีกฝ่าย เพราะผมรู้ดีอยู่แล้วว่าการนั่งเครื่องบินมันทรมานจริงๆ
“อืม ไม่เอาหรอก ฉันหลับได้แน่” เพื่อนที่ว่าบอก
“งั้นก็ตามใจ” ผมชักยากลับ ก่อนที่จะหยิบออกมาเพิ่มอีกเป็นสองเม็ด และกินไปรวดเดียวสองเม็ดทันที เพราะผมเคยทดลองกินตอนไปรอบเกาหลีแล้ว เม็ดเดียวเอาไม่อยู่ ผมเลยจำเป็นต้องใช้สองเม็ดตามคำแนะนำของเพื่อนที่เป็นหมอว่ากินๆ ไปเหอะ ไม่เป็นไรหรอก
จริงๆ แล้วต้องบอกว่าผมเตรียมตัวในการวางแผนเผื่อผมลองหลับยากบนเครื่องบินด้วยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนที่ผมจะหยิบมาอ่าน , เกมมือถือที่สามารถดูดเวลาผมอยู่บนเครื่องบินได้เป็นชั่วโมง และหนังที่ผมซื้อบน Itunes ดูบนโน๊ตบุคด้วย แต่เนื่องจากว่าฤทธิ์ยานั้นทำออกมาแรง (ผมคุยกับแชทเพื่อนที่เป็นหมอที่ว่าทางมือถือตอนที่กำลังรอพนักงานเรียกผู้โดยสารขึ้นเครี่องตามลำดับเลขที่ เพื่อนยังบอกเลยว่าไม่แปลกหรอกเพราะอัดไปตั้งสองเม็ด ผมจึงมั่นใจได้ว่าครั้งนี้ผมหลับได้แน่ๆ
พูดถึงบนเครื่องบินของสายการบินแอร์เอเชีย X แล้ว ต้องบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมใช้บริการของสายการบินนี้จริงๆ ที่ผ่านมาผมก็ขึ้นสายการบินอื่นๆ เช่น Korea Air ที่ผมเดินทางครั้งแรก , เจจูแอร์ (ก็ของเกาหลี) ตอนไปเกาหลีรอบสอง และมีขึ้นของการสายการบินไทยตอนบินไปขอนแก่น (จำใจซื้อตั๋วแพงเพราะต้องลงที่สุวรรณภูมิเพื่อไปทำงานที่ไบเทคบางนาต่อ) ทำให้ผมไม่รู้ว่าเครื่องบินลำใหม่ของสายการบินแอร์เอเชีย X นั้นเป็นยังไง แต่ก็พบว่าขนาดที่นั่งนั้นกว้างเพราะเป็นเครื่องบินลำใหญ่ มีทั้งหมด 3 แถวเหมือนกับเครื่องลำใหญ่ของ Korea Air แต่ข้อต่างก็คือเข่าไม่ชิดเก้าอี้ข้างหน้าเหมือนการบินไทย ซึ่งตรงจุดนี้ทำให้ผมสามารถนั่งได้สบายโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเข่าชิด เพราะถ้าเข่าชิดนั้นจะทำอะไรมากแทบไม่ได้นั่นเอง
บนเครื่องบินนั้นก็มีเอกสารที่แนะนำวิธีการฉุกเฉิน เช่น การหยิบเสื้อชูชีพ ตำแหน่งทางออก นิตรสารให้อ่านเล่น และหนังสือละลายเงินของ Duty Free ตามแบบฉบับของสายการบินอื่นๆ ส่วนการแนะนำการใช้เสื้อชูชีพนั้น ลูกเรือของแอร์เอเชีย X นั้นก็สาธิตออกมาดีและเข้าใจง่ายด้วยระบบ 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ และญี่ปุ่น ตรงนี้ต้องชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ของเขาอย่างมาก ซึ่งว่าตรงๆ ว่าผมประทับใจเขาตั้งแต่การมาโค้งคำนับกล่าวต้อนรับผู้โดยสารก่อนเช็ดอินแล้วหละครับ
ด้วยความง่วงของผม ผมหยิบหมอนรองคอขึ้นมาแล้วก็เริ่มผล็อยหลับไป การกินยาแก้เมาถึงสองเม็ดตามที่เพื่อนผมแนะนำมามันช่วยได้จริงๆ แถมผมยังขนผ้าห่มขึ้นมาแบ่งปันกับเพื่อนอีกสองคนด้วย ทำให้ผมสามารถหลับได้ง่ายขึ้น อย่างว่า แม้ว่าผมจะขึ้นเครื่องบินไม่กี่ครั้ง แต่ผมก็รู้ดีว่าผมต้องทำยังไงไม่ให้ช่วงเวลา 6 ชั่วโมงกว่าบนเครื่องบินเป็นช่วงเวลานรกแตกสำหรับผม
เพื่อนคนที่ว่านั้นนั่งข้างๆ ผมเพราะว่าผมนั่งริมทางเดิน แต่อีกฝ่ายนั่งตรงกลาง เริ่มกระสับกระส่ายกับที่นั่งสุดแคบของที่นั่งชั้นประหยัด แต่ผมไม่ได้แคร์อะไรอีกเพราะผมกำลังเข้าสู่ห้วงภวังค์ของการหลับฝัน
การเดินทางสู่ญี่ปุ่นกับเพื่อนสุดเฟลครั้งแรกของผม กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
——————————
7 โมงกว่าๆ ผมตื่นนอนเพราะแสงเริ่มแยงตา และก็เริ่มรู้ละว่าผมคงนอนต่อไปไม่ได้แน่ๆ เพราะว่าที่นั่งบนเครื่องบินมันไม่ได้ปรับนอนได้มากเท่ารถ ดังนั้นโอกาสจะได้นอนต่อจึงยาก แต่ต้องบอกว่าความน่าตื่นเต้นในการเยือนแดนปลาดิบครั้งนี้มันทำให้ผมไม่ค่อยอยากจะนอนต่อ แต่ต้องบอกว่าเพราะอาการปวดเมื่อยที่มีนั้นทำเอานอนต่อไม่หลับน่าจะบอกต่อ
อีกประเด็นที่ทำให้ผมนอนต่อไม่หลับนั่นเพราะว่าอาหารบนเครื่องบินเริ่มเสิร์ฟแล้ว กลิ่นอาหารก็เริ่มโชยมามากขึ้น ซึ่งถามว่าทำไมผมถึงไม่ซื้อกินกับเขาบ้าง ? เหตุผลง่ายๆ ครับ อาหารที่มีขายบนแอร์เอเชียนั้นมีแต่ไก่ทั้งนั้น ซึ่งกระผมเป็นเก๊า!! กินไม่ได้ซักกะเมนู!! (ไม่ได้คิดจะขายคนป่วยเป็นโรคเก๊าเลยนี่ฝ่า!!) เลยรอให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ กินเสร็จก่อน แล้วพวกผมก็หยิบแซนวิสที่ซื้อมาจาก S&P ล่วงหน้ามากิน (ซึ่งก็ถูกกว่าซื้อกับแอร์เอเชีย ถึงรู้ว่ามันจะไม่ดีก็เหอะ แต่ทำไงได้ เมนูเล่นมีแต่ไก่)
ประมาณสิบโมงกว่า เครื่องบินก็ได้ร่อนลงที่สนามบินนาริตะ ซึ่งให้บรรยากาศเหมือนสนามบินชนบท ซึ่งต้องบอกว่ามันคล้ายกับสนามบินขอนแก่นมากกว่าในเรื่องบรรยากาศอะนะ ตาเพื่อนสุดเฟลบอกออกมาขำๆ ว่า สงสัยพาเรามาลงผิดที่รึเปล่า ทำไมมองไม่เห็นตึกเลย
จริงๆ แล้วสนามบินนาริตะนั้นจะให้อารมณ์เหมือนสนามบินสุวรรณภูมิบ้านเรา นั่นก็คือจะไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง แต่จะอยู่นอกเมือง โดยอยู่ที่จังหวัดชิบะ ก่อนหน้านี้สนามบินนาริตะเคยใช้ชื่อ New Tokyo International Airport จนกระทั่งปีค.ศ. 2004 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นสนามบินนาริตะ เป็นสนามบินที่รองรับเที่ยวบินสำหรับผู้โดยสารมากอันดับ 2 ของญี่ปุ่น (รองจากสนามบินฮะเนะดะ) เป็นสนามบินที่รองรับการขนส่งทางอากาศเป็นอันดับ 1 ของญี่ปุ่นและอันดับ 3 ของโลกอีกด้วย ซึ่งสายการบินแอร์เอเชีย X นั้นก็มาลงที่สนามบินนาริตะเนี่ยแหละครับ (ขอบคุณข้อมูลเสริมจากวิกิพีเดีย)
หลังจากที่ลงจากสนามบิน และเดินตามผู้โดยสารไปตามทาง (ที่โคตรจะยาวจนแอบคิดว่ามันจะยาวไปถึงไหน) จนถึงผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (ที่ดันให้ผ่านอย่างง๊ายง่าย จนผมก็คิดในใจเหมือนตอนที่ผมมาเกาหลีรอบแรกเลยว่า แล้วตรูจะเอาเอกสารมาเป็นปึกเพื่ออัลไล!!) จริงๆ ผมก็ได้ข่าวมาเหมือนกันว่า ที่ ตม. หรือด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศญี่ปุ่นนั้นเผลอๆ อาจจะโหดกว่าเกาหลีอีก นั่นเพราะตั้งแต่หลังญี่ปุ่นเปิดฟรีวีซ่า มีคนไทยไปเที่ยวเยอะขึ้นจริง แต่ก็ใช่ว่าเข้าไปเที่ยวแล้วจะไม่สร้างปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ก่อนที่พวกผมจะไปก็ได้มีคนไทยไปขับรถเมาชนเด็กตายที่ประเทศญี่ปุ่นจนอับอายขายขี้หน้าทั้งประเทศ และยอมรับว่าจากข่าวนั้นก็ทำให้มีชาวญี่ปุ่นหลายคนไม่พอใจคนไทยเท่าไหร่ แต่ด้วยการที่ผมเป็นพวกมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อน เลยเตรียมเอกสารเผื่อเอาไว้ 17 แผ่น แต่ละแผ่นมีโปรแกรมนำเที่ยวที่บอกราคา , เวลา , หมายเหตุ , เอกสารการทำงาน ฯลฯ ไว้แบบละเอียดยิบจนแบบใช้เป็นสารานุกรมได้เลย แต่แล้วก็ปล่อยผ่านไปแบบไม่ขอดูอัลไลเลย
ถึงจะรู้สึกดีที่ไม่โดนเขาถามเพราะภาษาอังกฤษผมมันกากในระดับเด็กอนุบาลก็เหอะ แต่อุตส่าห์ขนเอกสารมาซะเยอะก็แบบว่า… อะนะ
ทว่า จุดที่ผมกับเพื่อนโดนตรวจนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่ด่านตรวจคนเข้าเมืองหรอกครับ แต่มันเป็นตรงบริเวณด่านศุลกากรต่างหาก! ซึ่งเพื่อนสุดเฟลของผมแสดงสีหน้าที่ค่อนข้างกังวลออกมาเยอะมาก เพราะว่าข้างในกระเป๋านั้นมีผลไม้แห้งที่นำมาเป็นของฝากให้อาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นที่เคยเจอกันตอนอยู่เมืองไทย แต่จริงๆ ต้องบอกว่าเพราะพวกเราออกมากันช้า เลยอาจจะดูน่าสงสัยก็ได้ พอมีการยื่นใบศุลกากรแล้ว ทางเขาก็ขอตรวจทันทีว่าไส้ในกระเป๋านั้นมีอะไรบ้างด้วยเจ้าหน้าที่ชายสวมแว่นที่ดูมีอายุหน่อยแต่พูดภาษาอังกฤษได้ ผมก็เปิดให้เขาดู และก็เป็นตามที่ผมคาดว่าจะต้องมีของชิ้นหนึ่งที่เขาจะต้องเอ๊ะใจจากผมอย่างมาก ซึ่งมันก็คือ Camera Kit นั่นเอง คนไหนไม่รู้ว่ามันมีหน้าตายังไง ตามภาพข้างล่างเลยครับ
ชุดอุปกรณ์นี้จะทำให้ผมสามารถหนีบมือถือหรือกล้องสำหรับในการถ่ายภาพแบบให้มันเกาะไหล่เอาไว้ได้ ซึ่งผมก็ได้เอาเอกสารเข้างาน Tokyo Game Show ให้เขาดูด้วย แน่นอนครับ เป้าหมายของการเดินทางมาของเรานั่นก็คือมางาน Tokyo Game Show นั่นเอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ชายอีกคนมาเห็นก็ถามว่ามันคืออะไร ผมเลยหยิบสาธิตโชว์ให้ดูเลญ พอทางเขาเห็นว่าอุปกรณ์มันทำอะไรได้ ถึงกับทำหน้าอึ้งแล้วบอก สุโก้ย
อุ เหยดดดด! ได้ยินคำพูดญี่ปุ่นคำแรกจากปากชาวญี่ปุ่นครั้งแรกเป็นคำว่า สุโก้ย มันช่างเป็นอะไรที่น่าปลาบปลื้มมาก แถมพอเขารู้ด้วยว่าเรามางานเกม เขาปล่อยผ่านผมไปอย่างง่ายดายและช่วยผมเก็บของใส่กระเป๋าด้วย เกมญี่ปุ่นจงเจริญ แน่นอนว่าเมื่อจัดการของผมเสร็จก็ไปตรวจอีกสองคนต่อ ซึ่งจะไปตรวจตาเพื่อนสุดเฟลซึ่งก็พบผลไม้แห้ง Otop ของไทยที่เขาขอดูนานหน่อยก่อนที่จะช่วยเก็บของให้ และก็โค้งเพื่อพาพวกเราออกไปยังอาคารผู้โดยสารขาออก อันเป็นการเสร็จพิธีการเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ
พื้นที่ของอาคารผู้โดยสารขาออกของสนามบินนาริตะนั้นจะให้อารมณ์คล้ายๆ กับสนามบินอินชอนของเกาหลี แต่อาจจะเป็นไปได้ว่าสนามบินยังไงก็มีรูปแบบโครงสร้างอาคารคล้ายๆ กันอยู่แล้วก็อาจจะเป็นไปได้ ในระหว่างที่เพื่อนผมไปขอถ่าย (หนัก) ในห้องนํ้า เพื่อนสุดเฟลของผมก็เดินไปแลกเงินต่อที่จุดแลกเงิน เพราะตอนแรกๆ มาถามว่าขอไปแลกที่ธนาคารในญี่ปุ่นได้ไหม ซึ่งผมกับเพื่อนอีกคนก็ไม่เห็นด้วย เพราะไม่รู้ว่ามันต้องใช้เอกสารอะไรอีกในการทำ ดังนั้นแลกที่สนามบินจะสะดวกสุด (ยํ้าถามสามรอบต้องการจะไปแลกที่ธนาคารในญี่ปุ่นอย่างเดียว โถ่ ทำยังกับเดินเข้าธนาคารในไทยเลยนะเอ็ง)
หลังจากนั้นเพื่อนผมก็เดินวนหาพื้นที่สำหรับการซื้อบัตรตั๋วโดยสารรถไฟ 3 Day Pass สำหรับการเดินทางในโตเกียวที่พวกเราจะต้องตะลอน ซึ่งหลังจากหาเจอกันแล้ว เราก็เดินทางเพื่อไปยังสถานีรถไฟเพื่อเข้าไปในเมืองทันที โดยเราจะต้องใช้รถไฟสาย Keisei Main Line ในการเดินทางเข้าเมือง ก่อนที่จะไปต่ออีกสองต่อเพื่อเข้าที่พัก แม้ว่าเราจะซื้อบัตร Pass มาแล้ว
แต่ในการขึ้นรถไฟสายแรกนั้นเราก็ต้องซื้อตั๋วก่อนในราคา 740 เยน ตามที่ทั้งผมและเพื่อนอีกคนนึงคำนวณเรทราคาเอาไว้ล่วงหน้าเด๊ะๆ ซึ่งก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันนะที่เห็นว่าตั๋วรถไฟญี่ปุ่นมันเล็กกว่าบ้านเรามาก มันมีขนาดแค่สองนิ้วมนุษย์ชิดกันเองมั้ง เสี่ยงในการทำปลิวหายไปมาก ฮะๆ
จากนั้นเมื่อพวกเราลงบันไดเลื่อน ความเฟลของเพื่อนผมก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อมัน ‘ไม่ชิดซ้าย’ ซึ่งเรื่องนี้เพื่อนผมที่เคยมาญี่ปุ่นนั้นเคยเตือนพวกผมแล้วว่าต้องยืนชิดซ้ายตอนขึ้นบันไดเลื่อน ซึ่งตอนแรกๆ ตาเพื่อนสุดเฟลนั้นไม่ชิดซ้าย แต่ยืนขวางบันไดเลื่อนพร้อมกับหยิบมือถือนั่งแชททันทีที่ผมเปิดเร้าเตอร์เน็ต WIFI ได้ แต่จริงๆ ไม่น่านับว่าเป็นเรื่องเฟลเพราะเป็นครั้งแรก
รถไฟญี่ปุ่นนั้นดูแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรจากบ้านเราเท่าไหร่นัก จากเทอร์มินอลสองที่พวกเรายืนอยู่นั้น สภาพรถไฟญี่ปุ่นของ Keisei Main Line ก็คล้ายๆ กับรถไฟใต้ดินบ้านเรา (และคล้ายกับของเกาหลี) แต่ข้อต่างที่ต่างจากบ้านเราและเกาหลีที่ผมไปเจอมาก็คือ มันไม่มีที่กั้นอะไรเลย ซึ่งดูๆ แล้วถ้ามันมีคนร่วงลงไปนี่คงเสียวไม่ใช่น้อยๆ พวกผมลากกระเป๋าขึ้นรถไฟและหาที่นั่ง เพราะต้องใช้เวลานั่งยาวไปจนถึง 17 – 20 นาทีเลยทีเดียว แต่เมื่อรถไฟผ่านพื้นที่สนามบินไปแล้ว สิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้เจอก็คือ จู่ๆ รถไฟผ่านพื้นที่ที่เป็นอุโมงค์ ความมืดมิดหายไป ความสว่างสดใสของป่าและทุ่งหญ้าก็ปรากฎมาแทน ราวกับว่ารถไฟขบวนที่ผมนั่งอยู่นั้นมันไม่ใช่สถานีรถไฟใต้ดินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และสิ่งที่ผมเห็นภาพรางรถไฟของญี่ปุ่นของจริงมันทำให้ผมอึ้งมากๆ
เฮ้ย! นั่มมันรถไฟรางแบบบ้านเราเลยนี่หว่า!! แต่ใช้ระบบไฟฟ้า!!
ผมเคยอ่านข่าวมาว่า ญี่ปุ่นเคยมาดูงานระบบรางรถไฟบ้านเรา และกลับไปพัฒนาต่อจนสามารถสร้างระบบคมนาคมในประเทศจนสามารถทำให้รถไฟวิ่งไปทั่วกรุงโตเกียว และมีชินคันเซ็นที่สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงไปทั่วประเทศได้ ในขณะที่บ้านเรานั้นยังไม่ใช่ระบบไฟฟ้า และเหมือนกับว่ารถไฟความเร็วสูงของบ้านเราที่ว่าจะทำนั้นถูกยกเลิกไปแล้ว แต่จะใช้ระบบรถไฟรางคู่ที่เป็นไฟฟ้าแทน และมีการขยายเส้นทางรถไฟในกรุงเทพให้มากขึ้นด้วย ซึ่งต้องบอกว่า โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว คนไทยหลายคนนิยมการใช้รถส่วนตัวกันมากกว่า พอมาเห็นระบบการขนส่งของญี่ปุ่นแล้ว รถส่วนตัวนี่สู้ไม่ได้เลย เพราะการเดินทางด้วยรถไฟที่มีจำนวนสายที่มากมายแบบนี่มันสะดวกสบาย ประหยัด และรวดเร็วกว่ามาก และต้องบอกว่าระบบการขนส่งมวลชนของญี่ปุ่นมันทำให้หลายคนอยากไปใช้ขนส่งสาธารณะมากกว่ารถส่วนตัวเสียอีก ซึ่งเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังเรื่อยๆ เอง
การเดินทางของพวกเรานั้นก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติมาก ก็คือนั่งและออกจากขบวนรถเพื่อเชื่อมต่อไปยังสถานีต่างๆ โดยการนำทางของเพื่อนผมที่โหลดแอพมือถือการรถไฟกับตารางที่ทั้งผมและเพื่อนผมนั่งเช็ดนั่งทำกันล่วงหน้า (ส่วนตาเพื่อนสุดเฟลนั้นไม่ได้สนใจมานั่งดูหรือจำชื่อสถานีแต่แรกทั้งๆ ที่บอกให้มาช่วยดู ขนาดปรี้นสำเนาให้ใช้จริงยังไม่หยิบมาดูเลย) จนกระทั่งพวกเรามาที่สถานี Nishi-Funabashi ปรากฎว่า ตั๋วรถไฟที่พวกเราซื้อมานั้นเกิดอาเพศอะไรไม่รู้ เสียบเข้าไปแล้วประตูที่กั้นมันไม่ยอมเปิดออก แต่ดันคืนตั๋วมาให้ซะงั้น ซึ่งมีของผมกับเพื่อนสุดเฟลเนี่ยที่เสียบตั๋วไม่ผ่าน เลยต้องไปหาพนักงานสถานีเพื่อที่จะขอคืนตั๋วเขา ซึ่งเพื่อนผมก็ได้เข้ามาคุยเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เพราะเขาเป็นคนเดียวที่สามารถคุยภาษาญี่ปุ่นได้รู้เรื่อง แต่ตอนนั้นเองก็ได้เกิดเรื่องที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวซะงั้น
เกิดแผ่นดินไหว…
ในช่วงเวลานั้น ตรงห้องพนักงานตั๋ว ที่พนักงานเพิ่งจะเอาตั๋วของผมไปประทับตราว่า ตั๋วใช้แล้วนะอะไรแบบนี้ และกำลังรอถึงตาเพื่อนสุดเฟลของผม จู่ๆ พนักงานหญิงที่อยู่ข้างหลัง (ในห้อง) มองไปข้างหลังผม (ซึ่งผมกำลังยืนหันหน้าไปทางห้องเขาอยู่) และเหมือนบอกอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
และตอนนั้นเอง พื้นที่ผมยืนอยู่นั้นเกิดโยกไปโยกมาเหมือนเครื่องเล่นสวนสนุกที่เริ่มทำงาน และผมมองไปรอบๆ คนญี่ปุ่นเริ่มหยุดเดินและมองไปตรงป้ายไฟที่้สั่นไหวพอดี ชานชาลาที่ผมยืนอยู่นั้นเป็นชั้นที่สอง น่าจะทำให้การโยกของตัวอาคารนั้นโยกมากกว่าครั้งแรก และให้อารมณ์เหมือนมีรถบรรทุกสิบล้อขนาดใหญ่มากๆ วิ่งผ่านจนทำให้พื้นอาคารที่ผมยืนอยู่มันโยกไปมาทันที ซึ่งตอนนั้นผมรีบหยิบกล้องมาถ่ายไว้ และมองไปรอบๆ ด้วยความไม่ประมาท เพราะเราไม่รู้ว่าแผ่นดินไหวมันจะแรงขึ้นหรือไม่มีแล้ว ซึ่งตอนนั้นก็เกิดการสั่นไหวมาอีกครั้งจนป้ายไฟโยกไปมา แต่ก็เล็กน้อยมากๆ
ทว่า สิ่งที่ผมได้ยินจากเพื่อนสุดเฟลก็คือ “คือหมายความว่าเราจะไม่ใช่ตั๋วนี้แล้วใช่ไหม” แล้วทำท่าอยากจะรู้เรื่องตั๋วมากๆ โดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าทั้งผมและเพื่อนอีกคนกำลังจับตามองดูสถานการณ์อยู่ว่าแผ่นดินไหวมันจะแรงขึ้นไหมหรือไม่มีแล้ว
โถ่! ไอ้บ้า! หายนะกำลังเกิดขึ้่นตรงหน้า คุณเมิงช่วยใส่ใจก่อนได้ไหมฟะ! ห่วงจังเลยไอ้ตั๋วเนี่ย แล้วตั๋วมันก็ไม่ต้องใช้แล้ว!! เพราะเพื่อนฉันก็สอดตั๋วผ่านมาได้ ส่วนของฉันตั๋วก็ถูกประทับตราแล้วว่าใช้แล้ว แถมตามกำหนดการที่ผมเขียนแผนเอาไว้ เราต้องใช้บัตร Pass สำหรับการผ่านไปยังอีกสถานีหนึ่งเพื่อไปถึงที่พัก เพื่อนเอ็งถึงสองคนรู้อยู่แล้วว่าตั๋วที่ซื้อมา มันใช้ไม่ได้แล้วยังจะถามอีกเหรอว่าใช้ได้ไม่ได้ แสดงว่าในหัวเอ็งนี่ ต่อให้มีภัยธรรมชาติมาเกิดต่อหน้าก็ไม่ได้ใส่ใจเลยใช่ไหม!!
และนั่นแหละคือเรื่องที่มันเฟลจริงๆ จังๆ ครั้งแรกที่มันมาเหยียบญี่ปุ่น!!