Homefront เป็นเกมที่เปิดตัวออกมา แม้จะมีเนื้อเรื่องที่สั้น (5 ชั่วโมงก็จบ) แต่มีความพีคเรื่องเนื้อเรื่องตั้งแต่เปิดเกม ทำให้คนเล่นหลงรักตัวละคร เกลียดเกาหลีเหนือ และร่วมต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสระภาพของประเทศอเมริกา แม้แต่โหมดมัลติเพลเยอร์ก็ยังเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมมาก แต่ทว่าการปรากฎตัวของ Homefront: The Revolution กลับสร้างความผิดหวังอย่างมาก ทางเราเองก็เข้าไปลองเล่นช่วงทดลองเล่นฟรี ก็ต้องส่ายหัว ด้วยเหตุนี้ บทความของเราจึงเรียกว่า “พรีวิว” ครับ
เนื้อเรื่องของ Homefront: The Revolution นั้นจะบอกว่าเป็นภาคต่อก็ไม่เชิง เพราะกล่าวถึงกองกำลังใต้ดินที่กอบกู้อิสรภาพของอเมริกาเหมือนตัวเอกภาคแรก แต่ข้อต่างก็คือ ตัวละครจะเปลี่ยนแนวจากดำเนินเนื้อเรื่องเป็นเส้นตรง ที่กลายเป็นเกมแนว Open world เปิดกว้างที่คนเล่นจะสามารถเล่นแบบไหนก็ได้ จะบุกจะลอบโจมตีแบบไหนก็ทำได้ทั้งนั้น (นึกไม่ออก ขอให้นึกถึง Far Cry ครับ) ซึ่งทำให้ตัวเกมมีเนื้อเรื่องและเกมเพลที่นานกว่าเดิม
นอกจากนี้ในเกมยังมีการเพิ่มของเล่นใหม่ๆ เจ๋งๆ อย่างเช่นอุปกรณ์ไฮเทค อย่างพวกรถระเบิดหรือการแต่งปืนที่ทำได้หลายส่วนมากๆ คนเล่นจะมีอิสระในการปรับแต่งทั้งตัวละครและซื้ออุปกรณ์ในเกม เลือกได้ว่าจะทำภารกิจรองไหมหรือจะมุ่งเน้นภารกิจหลักอย่างเดียว แถมตัวเกมยังใช้ Cry Engine ที่ทำให้ภาพกราฟฟิกกออกมาสวยงดงามมากๆ เลยทีเดียวครับ
แต่อะไรหละที่ทำให้เกมกลายเป็นความน่าผิดหวัง ? อำดับต้นๆ เลยก็คือ เกมมีปัญหา Performance สูงมาก ไม่ว่าจะเรื่องเฟรมเรทที่ดรอปลงเป็นระยะๆ ทั้งๆ ที่สเปคคอมผ่าน แต่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ ระบบเสียงที่มีปัญหา อย่างตอนที่ทดลองเล่น ตัวคนเขียนไม่รู้เรื่องเลยว่าโดนยิงจากตรงไหน ซึ่งมันเป็นเรื่องร้ายแรงมาก และทำให้การเล่นเกมไม่สนุกเลย
แถมการเล่าเนื้อเรื่องต้องบอกว่า โหวงมากครับ ต่างจากภาคแรกที่พีคแทบจะทุกๆ 5 – 10 นาที กลายเป็นว่าแค่เริ่มเกมมา 20 นาทีก็แทบง่วงเนื่องจากการเล่าเรื่องไม่กระซับ แถมด้วยการที่จู่ๆ เกมก็จับโยนคนเล่นเข้าไปกลางสมรภูมิ โดยที่ไม่ได้บอกอะไรเลย ก็ยิ่งทำให้ตัวเกมเหมือนสนามเด็กเล่นมากกว่าเนื้อหาเกมที่ควรจะซีเรียส ยังไม่นับเรื่องเอามือถือมาเป็นเครื่องมือสื่อสาร , รับเควส และจับตำแหน่งศัตรูด้วย คือมันก็น่าสนใจ แต่ทานโทษ นั่นมันเหตุการณ์อนาคตอันใกล้ๆ เล่นใช้มือถือติดต่อกันก็โดนพวกทหารแฮคได้แล้ว แต่ยังมีการคุยผ่านวิทยุอยู่ จะเอามือถือมาทำม้ายยยยย
ต้องยอมรับว่า ความรู้สึกส่วนตัวของคนเขียนเองนั้น เกมก็ดูน่าสนใจดีกับการเปลี่ยนให้เกมเป็นแนว Open World เพราะมันทำให้เกมมีอิสระในการเล่นมากขึ้น แต่กลับเจอปัญหาที่ไหลมาเป็นบานตะไท นี่ยังไม่รวมเรื่องบั๊กที่คนเล่นเจอเรื่อยๆ รวมไปถึง AI ที่ดูติ๊งต๊องเป็นบางเวลา อารมณ์เหมือนมันไม่ใช่เกม Homefront ที่เรารู้จักไปแล้ว ถ้าทีมพัฒนาเกมแก้ไข Performance และบั๊กเกมจนเสร็จสมบูรณ์ อะไรๆ คงน่าเล่นกว่านี้เยอะ
แต่สำหรับคนไหนที่อยากลอง เกมจะให้ลองเล่นฟรีจนถึงวันที่ 11 กันยายนนี้ ถ้าลองเล่นแล้วโอเค ก็สามารถซื้อได้ในราคา 437.40 บาท (ลด 40 % จากราคาเต็ม 729 บาท) แต่โดยส่วนตัวคนเขียนแล้ว หากอยากเล่นเกมนี้ แนะนำรอมันลดราคาดีกว่าครับ สามารถดาวโหลดตัวเกมเล่นได้ ที่นี่
.