หลังจากที่ Lara Croft สามารถเอาตัวรอดได้จากเกาะหฤโหดจนเปลี่ยนทำให้เธอรู้ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งลี้ลับอยู่มากมาย เธอจึงได้เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการพยายามกอบกู้ชื่อเสียงของพ่อเธอ หลังจากที่โดนสังคมตราหน้าว่าพ่อของเธอหลอกลวงเรื่องนครสาบสูญ และวัตถุในตำนานที่จะมอบความเป็นอมตะให้ผู้ที่ครอบครองมัน การผจญภัยของเธอจึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
สำหรับตัวเกมภาคต่อนั้น จะไม่ได้เริ่มเรื่องมาแบบเดียวกันกับภาคแรก ที่คนเล่นจะต้องเห็นความลำบากของสาวน้อย Lara Croft ตั้งแต่แรกจนต้องเอาใจช่วยเธอ แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นสาวนักบู๊ประหนึ่งคนอึด ตายยาก ไปแล้ว ทุกความสามารถของเธอนั้นติดตัวมากับภาคแรกทั้งหมด จนเรียกได้ว่าแทบไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่เลย โผล่มาเหมือนกดสูตรมาให้พร้อมเรียบร้อย
แต่อย่าคิดว่าเมื่อตัวละครมีความสามารถสูงแล้วตัวเกมจะง่าย ในเกมนั้นคนเล่นจะเจอศัตรูที่ยากขึ้น เยอะขึ้น และต้องใช้ทักษะที่มากขึ้นด้วย ดังนั้นคอนเชปของเกม Lara Croft จากเดิมที่เป็นเกมแนวเอาตัวรอด กลายเป็นเกมแอ็คชั่นผจญภัยโดยสมบูรณ์แบบ รวมไปถึงความสามารถของเธอที่เน้นฆ่าสังหารแบบประหนึ่งหน่วยรบปฏิบัติการพิเศษ ยอมรับว่ามุมมองของเธอแบบภาคแรกนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงในภาคสอง
ตัวเกมนั้นจะเป็นแนวผจญภัยแก้ไขปริศนา ด้วยการถ่ายทอดคอนเชปที่ง่าย คนเล่นจะสามารถเข้าถึงได้ไวและสามารถเรียนรู้การผ่านอุปสรรคแต่ละอย่างได้อย่างรวดเร็ว ทุกอย่างไม่มีคำว่ายาก ขอให้สังเกตให้ทันและกดให้ไวก็เท่านั้น ซึ่งทำให้การเล่นเกมค่อนข้างลื่นไหลและไม่ต้องมานั่งปวดหัวจากปริศนาที่แก้ยากจนเกินไป
ส่วนเนื้อเรื่องนั้นจะเป็นการเปิดเผยตัวร้ายใหม่ที่เป็นองค์กรเอกชน ซึ่งหวังที่จะบุกชิงวัตถุโบราณเพื่อจุดประสงค์ในทางไม่ดี Lara Croft ที่จะต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ต่อสู้ระหว่างชาวพื้นเมืองกับกลุ่มองค์กรนี้ ขณะเดียวกันเธอก็ต้องตามหาเมืองโบราณสาบสูญเพื่อทวงความเป็นธรรมให้แก่บิดาผู้ล่วงลับของเธอไป
ผู้เขียนเองไม่เคยสัมผัสเกม Lara Croft ภาคก่อนหน้านี้มาก่อน แต่ภาคนี้จะเป็นการเปิดเผยเรื่องราวของครอบครัวของ Lara Croft ซึ่งจะทำให้เราเห็นได้ว่า อดีตของเธอเป็นอย่างไร การเล่าเรื่องในช่วงต้นเกมนั้นยอมรับว่าค่อนข้างธรรมดา เหมือนตัวละครเข้าไปสำรวจโบราณสถานตามปกติ แต่พอผ่านไปซักกลางเกม ตัวเกมเริ่มเปิดเผยเรื่องราวมากขึ้นเมื่อความลับของเป้าหมายที่ทั้งตัวเอกและองค์กรกำลังตามหา กลับทรงพลังอนุภาพอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ต้องยอมรับว่า แม้เนื้อเรื่องจะเริ่มน่าสนใจกลางๆ เรื่อง กับเกมเพลที่มีไม่มากไป ไม่น้อยไป แต่ราวๆ 40 % ของเกมแทบไม่มีอะไรแปลกใหม่ ทุกอย่างจะเหมือนกับภาคแรก โดยเฉพาะตอนช่วงฉากสุดท้ายที่ให้อารมณ์เหมือนเอาฉากเดิมของภาคแรกเอามาโมใหม่จนให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนเล่นของเดิมก็ว่าได้ ทำให้เกมขาดความสดใหม่ไปบ้าง ต่างจากเกมภาคแรกที่รู้สึกตื่นเต้นทุกวินาทีที่เล่น
อีกทั้งตัวเกมยังขาดความสมเหตุสมผลในบางเรื่อง (บางสถานการณ์ ก็ดันเทพเกินมนุษย์) จุดเซฟที่ไม่น่าจะปรากฎในบางจุด , การดำเนินเนื้อเรื่องที่ดูแปลกๆ ในบางจุด รวมไปถึงบางสถานการณ์ที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุมายังไง แต่มาราวกับอารมณ์เกมแนว MMORPG ทำให้รู้สึกแปลกๆ ตอนที่เล่นเหมือนกัน
แต่ถ้าเทียบกับความอลังการของฉาก การออกแบบสถาปัตยกรรมที่ประณีต และฉากเสี่ยงตายที่ถาโถมใส่คนเล่นมากันแบบไม่ยั้งและฉากแอ็คชั่นประดุจมินิไมเคิลเบย์ ที่จะทำให้การเล่นเกมนี้เล่นได้สนุกและไม่มีเบื่อ ขณะเดียวกัน คนเล่นก็จะคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้่นได้ยาก ความสนุกของเกมจึงอยู่ที่ตรงนี้
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ในการเล่นเกมอาจจะไม่สดใหม่เหมือนกับภาคแรก แต่ฉากเสี่ยงตายทั้งหลาย , ระบบเกมเพลที่ต่อยอด และฉากแอ็คชั่นที่สาดใส่คนเล่นกันมาแบบไม่มีกั๊กประหนึ่งหนังแอ็คชั่นสูตรสำเร็จ รวมไปถึงกราฟฟิกแบบสวยเว่อร์อลังการ ก็ถือว่าทำให้เกมนี้น่าซื้อมาเล่น โดยที่ไม่จำเป็นต้องผ่านเกมภาคแรกมาก่อนเลยครับ
..
ข้อดี
– ระบบเกมเพลบางอย่างพัฒนาขึ้น คนเล่นมีความอิสระมากขึ้น
– กราฟฟิกสวยอลังการ ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
– ฉากเสี่ยงตาย แอ็คชั่นใส่มาแบบไม่กั๊ก
– ตัวเกมเล่นไม่ยากจนเกินไป เพลินตลอดทั้งเกม เข้าใจง่าย
– เน้นเนื้อเรื่องสุดๆ
ข้อเสีย
– ระบบเกมเพลแม้จะพัฒนาขึ้น แต่ก็ตามสเต๊ปภาคแรกมาเด๊ะๆ
– เกมเพลบางฉากเหมือนภาคแรกจนไม่แตกต่างกันเลย
– เนื้อเรื่องตอนต้นเกมไม่ค่อยดึงดูดเท่าภาคแรก และเป็นเนื้อเรื่องสไตล์หนังสูตรสำเร็จไปแล้ว
– mode บางโหมด และเนื้อเรื่องเสริมถูกตัดออกเป็น DLC
ตัวเกม Rise of the Tomb Raider วางจำหน่ายแล้วบน Steam ราคา 1,899 บาท สามารถไปสั่งซื้อได้ ที่นี่ ครับ
ขอขอบคุณ ทาง Bandai Namco สำหรับตัวเกมในการนำมารีวิวครั้งนี้ด้วยครับ