“ผู้กล้าไร้อาชีพ” เล่าเรื่องราวตัวเอกพลังโกงเพราะสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้ แต่เมื่อพิจารณาแล้วพบว่านั่นคือ “พรแสวง” ที่เกิดจาก “ความพยายาม”

อนิเมะใหม่จากทาง Anione-Thailand ที่ได้เริ่มฉายมาแล้วกับ “Hero Without a Class: Who Even Needs Skills?!” หรือชื่อภาษาไทยว่า “ผู้กล้าไร้อาชีพ” ซึ่งเล่าเรื่องราวในโลกแฟนตาซี เมื่อมนุษย์ทุกคนจะถูกกำหนดชะตาชีวิตตัวเองผ่าน “การให้พรของเทพธิดา” และได้รับสกิลที่เหมาะสมกับอาชีพนั้น ๆ ยกเว้นพระเอก “อาเรล” เพียงคนเดียวที่ “ไม่ได้รับพรและสกิลใด ๆ จากเทพธิดา” ทำให้เขาถูกปรามาสว่า “เป็นพวกไร้อาชีพ” (เทียบเท่ากับ ไร้ความสามารถ” แต่ตัวเขานั้นกลับไม่ท้อถอยต่อสิ่งนั้นและใช้ทั้ง “พรสวรรค์” และ “พรแสวง” ของตัวเองในการเอาชนะอุปสรรค ทำให้การ “ไร้อาชีพ” ของเขาเป็น “ความไม่สิ้นสุด” ที่จะทลายขีดจำกัดขนบธรรมเนียมและกฎระเบียบของโลกใบนี้
แม้พล็อตภาพรวมของเรื่องนี้จะกำเนิดมาในช่วงยุคที่พระเอกในธีมแฟนตาซีมีพลังโกง ๆ (หรือที่คนดูจะเรียกกันว่า “บั๊ก”) แต่ถ้ามองข้ามในแง่ของความง่ายของเรื่องนี้ที่นำเสนอไป มีอะไรที่น่าสนใจอยู่ แม้คนเขียนอาจไม่ได้มีเจตนาสื่อถึงเรื่องดังกล่าวแต่ก็สามารถนำมาพูดคุยกันได้ และน่าจะช่วยทำให้คนที่สนใจเรื่องนี้ได้เปิดมุมมองใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมซึ่งจะทำให้การดูเรื่องนี้สนุกขึ้น
โลกที่ถูกกำหนดชะตาชีวิตที่อยู่ใน “กรอบ”

การที่มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ได้รับพรจากเทพธิดา ได้รับมอบทั้งอาชีพและสกิล แม้จะใช้ความเหมาะสม และ การสืบทอดสายเลือด มาเป็นส่วนเกี่ยวข้อง ถึงจะเป็นเรื่องดีที่โลกนี้จะมอบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยนำทางคน ๆ นั้นไปยังสิ่งที่ตนเองชื่นชอบได้ แต่ถ้าหากมองอีกแง่ นี่เป็นการกำหนด “กรอบของสังคม” อย่างเห็นได้ชัด ในโลกดังกล่าว คนที่ได้รับพรจะไม่สามารถไปทำอย่างอื่นได้ และถูกจำกัดความคิดว่าจะต้องทำตามระบบที่กำหนดก็คือ “อาชีพของตนเอง” เท่านั้น
ในโลกยุคศักดินาที่ทุกอย่างถูกล็อกตายตัวเช่นนี้ แม้จะสร้าง “ความมั่นคง” และ “ความเป็นระเบียบ” ให้กับสังคม ทุกคนรู้หน้าที่ของตนเอง แต่ก็ต้องแลกมาด้วย “การหยุดนิ่งของการพัฒนา” ลองจินตนาการถึงโลกที่ลูกช่างตีเหล็กต้องเป็นช่างตีเหล็กไปตลอดกาล เขาอาจจะพัฒนาเทคนิคการตีดาบให้ดีขึ้นได้เล็กน้อย แต่เขาจะไม่มีวันคิดค้นดินปืนหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ ได้เลย เพราะนั่นไม่ใช่อาชีพของเขา นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่มักเกิดจากการผสมผสานความรู้จากหลายแขนง แต่ในโลกใบนี้ การข้ามสายความรู้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย สังคมจึงอาจติดอยู่ในยุคสมัยเดิม ๆ ไปตลอดกาล ไม่สามารถก้าวไปสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้ เพราะกรอบของ “อาชีพ” ได้จำกัดศักยภาพสูงสุดของมนุษย์เอาไว้แล้ว
แต่แล้ว “อาเรล” กลับเป็นคนที่ “ทลายข้อจำกัดของกฎข้อนี้” เนื่องจากเขาไม่ได้รับพรใด ๆ สถานะของเขาจึงเหมือนคนปกติที่สามารถมีทางเลือกที่สามารถทำอะไรก็ได้ แต่ข้อจำกัดของเขาคือการที่ไม่มีสกิลใด ๆ มาเป็นตัวช่วย ดังนั้นเขาจึงต้อง “เรียนรู้ทุกอย่างเอง” และเมื่อไม่มีกรอบความคิดใด ๆ มาปิดกั้น จึงทำให้ตัวเขาสามารถเปิดมุมมองใหม่ ๆ ได้
สิ่งนี้สะท้อนมาถึงโลกของเราได้เป็นอย่างดี แม้แต่ละคนจะมีความถนัดหรือเรียนจบมาในสาขาที่แตกต่างกัน แต่ไม่มีกฎข้อไหนที่ห้ามให้วิศวกรเรียนรู้การวาดภาพ หรือห้ามให้หมอศึกษาการเขียนโปรแกรม การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นอกกรอบความถนัดเดิม ไม่เพียงแต่จะเพิ่มทักษะและความสามารถส่วนบุคคล แต่ยังสร้าง “มุมมองที่กว้างขึ้น” ซึ่งนำไปสู่การแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์กว่าเดิม คนที่เข้าใจทั้งตรรกะและศิลปะย่อมสร้างผลงานที่มีเอกลักษณ์ได้มากกว่า ในระดับสังคม การส่งเสริมให้คนเรียนรู้ตลอดชีวิตและข้ามศาสตร์ความรู้ จะสร้างบุคลากรที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้เก่ง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก
“พ่อแม่” คือครูที่ไม่จำกัดกรอบพระเอก

ในเนื้อเรื่องนั้นเอาจริงครอบครัวของอาเรลก็ไม่ธรรมดา เพราะพ่อก็เป็น “ราชาเวทมนตร์ และแม่ก็เป็น “เจ้าหญิงนักดาบ” คือเรียกได้ว่ามีพ่อแม่ระดับหัวกะทิที่มาแต่งงานอยู่ด้วยกัน แต่แม้ทั้งพ่อทั้งแม่จะใช้ชีวิตคนละสายแต่ก็สามารถรักและอยู่ด้วยกันได้ แถมปลูกบ้านอยู่ด้วยกันในเมืองที่ห่างไกลจากเมืองหลวงอย่างเงียบ ๆ ใช้ชีวิตอันสงบ แถมไม่ปิดกั้นใด ๆ ทั้งกรอบแนวทางการเติบโตของอาเรล รวมไปถึงไม่มีการตำหนิใด ๆ ที่ตัวลูกชายไม่ได้รับสกิลหรืออาชีพใด ๆ มาจากพรของเทพธิดา
หากพิจารณาจากครอบครัวของอาเรลแล้วนี่เป็นตัวอย่างชั้นดีที่ทำให้อาเรลสามารถทลายกรอบความคิดได้ โดยเฉพาะในโลกที่ทุกคนจะถูกจำกัดกรอบความคิดว่า “จะต้องเป็นอะไร” พ่อแม่ของอาเรลถือว่ามีความสามารถไม่ธรรมดาและมีแต่คนเคารพนับถือ ผิดกับตัวอาเรลที่ทันทีเมื่อเขาพบว่าไร้อาชีพ ก็มีคนเริ่มดูถูกเขากันแล้ว (แม้ในอนิเมะจะเล่าแค่ว่าโดนดูถูกจากเด็กวัยเดียวกันก็ตาม) แต่พ่อกับแม่ของอาเรลกลับไม่ได้มองแบบนั้น แต่กลับพูดคำว่า “ไม่เป็นไรหรอก ลูกก็ไม่ต้องฝืนตัวเองมากไปนะ” ถึงจะดูประคบประหงมไปหน่อยเพราะอยากให้ลูกอยู่สบาย แต่พวกเขาไม่เคยถือโกรธโทษใด ๆ เหมือนในบางเรื่องที่มักจะโทษลูกตัวเองว่าเป็นจุดด่างพร้อยของครอบครัว ทางกลับกัน ยังสนับสนุนการเรียนรู้ของอาเรลอีกด้วย อย่างเช่นแม่ที่มีวิชาดาบก็ได้สอนวิชาดาบให้ลูกอย่างไม่ปิดบัง รวมไปถึงยังแนะนำให้ลูกตัวเองเดินทางไปยังเมืองนักดาบ และแนะนำให้เข้ากิลด์ที่แม่ตัวเองเคยอยู่ด้วย พูดง่าย ๆ คือ สนับสนุนโอกาสการเติบโตของลูกตัวเองโดยไม่ปิดกั้นใด ๆ
สังคมทุกวันนี้ล้วนมีกรอบที่บางบ้าน บางครอบครัวจะกำหนดให้ลูกอยากเติบโตอย่างที่เป็น ไม่ว่าจะอยากให้ลูกเป็นหมอบ้าง เป็นทนายบ้าง เป็นข้าราชการบ้าง แม้จะหวังดีต่อลูกแต่ก็พบว่าบางคนก็ไม่ได้มีความสุขในชีวิตเพราะชีวิตไม่ได้เลือกเอง บางคนโตเป็นผู้ใหญ่ เรียนจบทำงานตามที่พ่อแม่ต้องการแต่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองอยากทำอะไร ซึ่งทำให้เสียเวลาและโอกาสที่เกิดขึ้่น แต่ขณะเดียวกัน หากคนไหนที่ทางบ้านสนับสนุนลูกว่าอยากเป็นอะไรอยากทำอะไรให้เต็มที่ ก็จะช่วยทำให้เด็กคนนั้นเติบโตไปในทางที่ต้องการและทลายกรอบความคิดเดิม ๆ ได้
ดังนั้นในเรื่องนี้จึงเป็นการสื่อว่า ถ้ามีพ่อแม่ดี คอยช่วยสนับสนุนไม่ว่าลูกจะเป็นอะไร จะเกิดอะไรขึ้น ก็จะผลักดันทำให้เด็กคนนั้นเติบโตมาเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดีและอาจจะเหนือกว่าที่คิดก็ได้ อย่างเช่นอาเรลที่สามารถทลายขีดจำกัดของระบบสังคม จากคนไร้อาชีพที่กลายมาเป็นคนที่มีความสามารถหลากหลายและยังสามารถเรียนรู้ได้ไม่สิ้นสุด
พรสวรรค์ที่มาพร้อมกับความพยายาม “พรแสวง”

แต่ไม่ว่าจะมีความคิดที่ดีหรือพ่อแม่ดีแค่ไหน สิ่งที่สำคัญคือ “การได้ลงมือทำ” แม้ในอนิเมะจะเล่าไปไว ๆ เลยไม่ค่อยได้เห็นอะไรเท่าไหร่ แต่จะเห็นจากตอนแรกและตอนที่สามได้ว่า ตัวเอกนั้นไม่ใช่ว่าจะชนะอย่างเดียวแต่ยังมีแพ้ และการแพ้ของเขาก็คือเก็บเอาความแพ้ไปเรียนรู้และฝึกฝนต่อ ความพยายามของเขาทำให้ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเขาได้แข็งแกร่งขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าเขามีความมั่งมั่นอุตสาหะโดยไม่ยอมแพ้
ตัวเอกของเรื่องนี้แท้จริงแล้วมีพรสวรรค์ด้านการเรียนรู้ อย่างที่เห็นในตอนที่ 3 ได้ว่าเขาสามารถเรียนรู้ความสามารถของอีกฝ่ายมาได้เพียงแค่ดู แต่ช่วงแรก ๆ นั้นจะยังทำได้ไม่สมบูรณ์แบบ แม้จะเป็นพรสวรรค์อันน่าอิจฉา แต่สิ่งที่เขามีอีกอย่างคือ “พรแสวง” หรือการพยายามด้วยตัวเองอย่างไม่ย่อท้อ ซึ่งทำให้ตัวของเขานั้นสามารถพัฒนาตัวเองได้เรื่อย ๆ และเก่งยิ่งขึ้น แม้จะช่วยความยังเด็กและวัยรุ่นที่ทำให้เขาสามารถพัฒนาตัวเองได้ แต่ความ “ต่อเนื่อง” โดยที่ไม่ยอมแพ้เพียงเพราะถูกตราหน้าว่า “ไร้อาชีพ” เนี่ยแหละคือสิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีความสามารถรอบด้าน “อย่างแท้จริง”
เรื่องราวของอาเรลจึงเป็นมากกว่าอนิเมะแนวแฟนตาซีพลังโกงทั่วไป แต่มันคือบทพิสูจน์ที่สะท้อนมาถึงชีวิตของเราได้อย่างดีว่า “ป้ายกำกับ” ที่สังคมมอบให้ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ การศึกษา หรือคำดูถูก ไม่สามารถจำกัดศักยภาพที่แท้จริงของเราได้ หัวใจสำคัญอยู่ที่การยอมรับในตัวเอง การมีสภาพแวดล้อมที่ดีคอยสนับสนุน และที่ขาดไม่ได้คือความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และลงมือทำอย่างไม่ย่อท้อเหมือนอาเรล ขอให้เรื่องราวของ “ผู้กล้าไร้อาชีพ” คนนี้ เป็นแรงผลักดันให้ทุกคนกล้าที่จะก้าวออกจากกรอบที่คนอื่นสร้างขึ้น และไล่ตามเส้นทางของตัวเองอย่างสุดความสามารถ เพราะบางทีการ “ไร้อาชีพ” อาจหมายถึงการที่เราสามารถ “เป็นอะไรก็ได้” อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แม้ในอนิเมะเรื่องนี้จะไม่ได้ระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับเรื่องอื่น ทำให้งานภาพอาจจะดูธรรมดาไปนิด แต่เมื่อพิจารณาจากจุดนี้แล้ว ก็จะทำให้เราเข้าใจถึงเรื่องราวที่พระเอกเจอ และเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจที่ดีที่ “จะไม่ทำให้ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ และเปิดโอกาสการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ” ได้อย่าง “ไม่รู้จบ” เลยทีเดียว
อนิเมะ ผู้กล้าไร้อาชีพ จะฉายตอนใหม่ ทุกวันพุธ เวลา 20:00 น. รับชมได้ฟรีทาง Youtube ของ Ani-One Thailand