Hot News บทความ

“เหมือน GTA” ทำไมคำนี้ถึงมีพูดถึงกันในหลาย ๆ เกม?

บ่อยครั้งที่เราเห็นเกมแนว Open World และมีระบบขับรถในเมือง มักจะต้องมีคนใช้คำว่า “เหมือน GTA เลย” ทำไมถึงเป็นเช่นนั้่น นี่อาจเป็นปรากฎการณ์ที่น่าสนใจก็เป็นได้

สรุปไฮไลท์บทความ
– ความสำเร็จอย่างสูงของซีรี่ส์ Grand Theft Auto (GTA) ทำให้เกมโอเพ่นเวิลด์ที่มีระบบขับขี่ในเมืองมักถูกเปรียบเทียบกับ GTA เนื่องจาก GTA ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเกมแนวนี้
– ระบบการขับขี่ การโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อม และอิสระในการเล่นของ GTA กลายเป็นต้นแบบที่ผู้คนคุ้นเคยและนำมาเปรียบเทียบกับเกมอื่นๆ
– สื่อและการตลาดของเกมบางเกมก็ยิ่งตอกย้ำภาพจำนี้ด้วยการโปรโมทที่เน้นความคล้ายคลึงกับ GTA เพื่อดึงดูดผู้เล่น
– การเรียกเกมโอเพ่นเวิลด์ในเมืองว่า “เหมือน GTA” จึงเป็นการลดทอนความหลากหลายและเอกลักษณ์ของเกมเหล่านั้น
– ควรใช้คำที่กว้างกว่า เช่น “เกมโอเพ่นเวิลด์แนว Urban” หรือจำแนกตามแนวการเล่นหลัก เพื่อให้เห็นความแตกต่างและความโดดเด่นของแต่ละเกมมากขึ้น

ด้วยเทคโนโลยีการพัฒนาของเกมที่มีมากขึ้นในทุกวัน เราได้เห็นเกม Open World มามากขึ้น โดยเฉพาะเกม Open World ในเมืองที่มาพร้อมกับระบบขับขี่พาหนะ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการเรียกรถส่วนตัวสุดหรู หรือการ “ยืม” รถจากคนแปลกหน้าข้างถนน แต่ฟีคแบ็กจากคนดู หรือแม้แต่เพจสื่อเกมต่าง ๆ ก็ยังมีการใช้คำว่า “เหมือน GTA เลย” ไม่ก็ “เกม GTA ที่บ้าน” กัน

ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และเกิดขึ้นกับเกมจำนวนมากแม้ว่าเกมเหล่านั้นอาจจะมีแนวทางการเล่น หรือธีมที่แตกต่างจาก Grand Theft Auto อย่างสิ้นเชิง เหตุใดคำว่า “เหมือน GTA” ถึงกลายเป็นบรรทัดฐาน หรือภาพจำแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดของผู้คนเมื่อเห็นเกมที่มีองค์ประกอบเหล่านี้?

อิทธิพลอันแข็งแกร่งของ GTA: รากฐานแห่งความคุ้นเคย

เหตุผลหลักที่ทำให้คำว่า “เหมือน GTA” กลายเป็นคำสามัญประจำบ้านเมื่อพูดถึงเกม Open World และมาพร้อมกับระบบขับรถในเมือง ก็คือความสำเร็จอย่างถล่มทลายและความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแฟรนไชส์ Grand Theft Auto นั่นเอง นับตั้งแต่ GTA III ได้ปฏิวัติวงการเกมด้วยการนำเสนอโลกเปิดอิสระเต็มรูปแบบในสภาพแวดล้อมเมืองที่มีชีวิตชีวา ผู้เล่นสามารถเดินสำรวจ ขับรถไปทุกที่ ทำภารกิจหลักและภารกิจเสริมได้อย่างอิสระ รวมถึงการก่อกวนต่างๆ ในเมืองได้อย่างไร้ขีดจำกัด

เกม GTA ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเกมแนว Open World และฝังรากลึกในจิตสำนึกของผู้เล่นมาอย่างยาวนาน ระบบการขับขี่ยานพาหนะที่สมจริงในระดับหนึ่ง การมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมในเมือง การทำกิจกรรมต่างๆ นอกเหนือจากภารกิจหลัก และที่สำคัญคือความมีอิสระในการเล่นทุก ๆ บริบทซึ่งได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ผู้เล่นคาดหวังจากเกมที่มีฉากหลังเป็นเมืองขนาดใหญ่

เมื่อเกมอื่นนำเสนอองค์ประกอบเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการขับรถชมเมือง การแต่งรถ การมีบ้านพัก หรือแม้แต่ฉากที่ตัวละครเรียกรถมาใช้งาน ความทรงจำและความคุ้นเคยกับระบบเหล่านี้จากเกม GTA ก็จะถูกดึงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ทำให้เกิดการเปรียบเทียบในทันที มันเป็นกลไกทางความคิดที่ผู้คนพยายามทำความเข้าใจสิ่งใหม่โดยอ้างอิงจากสิ่งที่คุ้นเคยอยู่แล้ว

ภาพจำที่ถูกสร้างซ้ำ: สื่อและการตลาด

นอกจากอิทธิพลโดยตรงจากตัวเกมแล้ว สื่อและการตลาดของเกมต่างๆ เองก็มีส่วนในการสร้างและตอกย้ำภาพจำนี้ หลายครั้งที่เราเห็นเกมที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก GTA หรือมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกัน ทำการโปรโมทโดยเน้นย้ำไปที่อิสระในการขับขี่ การสำรวจเมือง หรือการทำกิจกรรมนอกกฎหมาย ซึ่งเป็นการสื่อสารโดยตรงกับภาพลักษณ์ที่ผู้คนมีต่อเกม GTA อยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ทีเซอร์ของเกม ANANTA เองก็จงใจนำเสนอภาพมุมสูงของเมือง การขับรถ และบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึง GTA อย่างชัดเจน

การทำเช่นนี้อาจเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ต้องการดึงดูดผู้เล่นที่ชื่นชอบเกมแนว GTA ให้หันมาสนใจเกมของตนเอง อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นการเสริมสร้างความเข้าใจผิดๆ และทำให้เกิดการเปรียบเทียบที่ไม่ยุติธรรมได้เช่นกัน เพราะเกมเหล่านั้นอาจจะมีเอกลักษณ์และแนวทางการเล่นที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

แล้วถ้าไม่ใช่ “เกมแนว GTA ” เราจะเรียกว่าอะไร?

ภาพจากเกม Neverness to Everness ที่กำลังเปิดลงทะเบียนล่วงหน้าตอนนี้

การเหมารวมเกมที่มีองค์ประกอบ Open World ขับรถในเมืองทั้งหมดว่าเป็น “เกมแนว GTA” นั้นเป็นการลดทอนความหลากหลายและความเป็นเอกลักษณ์ของเกมเหล่านั้น เพื่อให้การเรียกขานมีความแม่นยำและครอบคลุมมากขึ้น เราสามารถใช้คำศัพท์ที่กว้างขึ้น เช่น “เกม Open World แนว Urban” หรือ “เกม Open World ที่มีฉากหลังเป็นเมือง”

คำเหล่านี้จะเน้นไปที่ลักษณะของโลกในเกมที่เป็นเมืองขนาดใหญ่และเปิดกว้าง โดยไม่จำกัดอยู่เพียงแค่ระบบการขับขี่หรือการกระทำที่มักถูกเชื่อมโยงกับ GTA นอกจากนี้ เรายังสามารถจำแนกประเภทของเกมเหล่านี้ตามแนวทางการเล่นหลักของมันได้อีกด้วย เช่น

  • Action-Adventure Open World (Urban Setting)

สำหรับเกมที่เน้นเนื้อเรื่อง การผจญภัย และการต่อสู้เป็นหลัก โดยมีเมืองเป็นฉากหลัง เช่น Sleeping Dogs ที่เน้นศิลปะการต่อสู้และเรื่องราวตำรวจนอกเครื่องแบบในฮ่องกง หรือ Watch Dogs ที่เน้นการแฮ็กระบบดิจิทัลในเมืองชิคาโก

  • Driving/Racing Open World (Urban Setting)

สำหรับเกมที่เน้นการขับขี่ยานพาหนะเป็นหลัก อาจมีการแข่งขัน หรือการสำรวจเมืองด้วยรถยนต์เป็นแกนหลัก เช่น Test Drive Unlimited ที่ให้ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์การขับรถหรูในโลกเปิด

  • Life Simulation/RPG Open World (Urban Setting)

สำหรับเกมที่เน้นการใช้ชีวิต การสร้างตัวตน การทำกิจกรรมต่างๆ ในเมือง และอาจมีระบบ RPG เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น Yakuza ที่นำเสนอเรื่องราวเข้มข้นของยากูซ่าในเมืองญี่ปุ่นที่มีชีวิตชีวา พร้อมกิจกรรมให้ทำมากมาย

ตัวอย่างเกม Open World ในเมืองอื่นๆ ที่มีความโดดเด่น

นอกเหนือจากเกมที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีเกม Open World ที่มีฉากหลังเป็นเมืองอีกมากมายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและไม่ได้พยายามเลียนแบบ GTA โดยตรง เช่น

  • Saints Row: แฟรนไชส์ที่โดดเด่นด้วยความตลก ความบ้าบิ่น และการนำเสนอแก๊งสเตอร์ในรูปแบบที่แตกต่าง
  • Just Cause: เน้นความอิสระในการทำลายล้างและการเคลื่อนที่ด้วยอุปกรณ์สุดหวือหวาในสภาพแวดล้อมขนาดใหญ่
  • Cyberpunk 2077: นำเสนอโลกอนาคตอันล้ำสมัยในเมือง Night City ที่มีความซับซ้อนและเนื้อเรื่องที่เข้มข้น

บทสรุป

การที่เกม Open World ที่มีระบบขับรถในเมืองถูกเปรียบเทียบกับ GTA เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ด้วยอิทธิพลและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของแฟรนไชส์ดังกล่าว และแม้ว่าการใช้คำว่า “เหมือน GTA เลย” จะทำให้สื่อสารไปถึงคนเล่นเกมที่กำลังสนใจเกมดังกล่าวได้เห็นภาพอย่างชัดเจนมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม การเรียกขานเกมเหล่านี้ด้วยคำว่า “เหมือน GTA” เพียงอย่างเดียวเป็นการลดทอนเอกลักษณ์และความหลากหลายของเกมเหล่านั้น การใช้คำศัพท์ที่กว้างขึ้น เช่น “เกม Open World แนว Urban” หรือจำแนกตามแนวทางการเล่นหลัก จะช่วยให้เราเข้าใจและชื่นชมความแตกต่างของเกมเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ผู้เล่นและนักพัฒนาต่างก็พยายามสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ๆ ในโลกเสมือนจริงที่เต็มไปด้วยอิสระในเมืองใหญ่ การก้าวข้ามภาพจำ “เหมือน GTA” จะเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับความแปลกใหม่และความน่าสนใจที่เกมเหล่านี้มีนำเสนอได้อย่างแท้จริง

Leave a comment